แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “VICTORIA’SSECRET” โดยจดทะเบียนไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ เพื่อใช้กับสินค้าประเภท ของใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในรวมทั้งสินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สำหรับในประเทศไทยโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเพื่อใช้กับสินค้าในจำพวกที่ 38 เดิม จำเลยที่ 1ประกอบกิจการประเภทภัตตาคาร ส่วนจำเลยที่ 2 ประกอบ กิจการสถานออกกำลังกาย โดยกิจการของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ใช้ชื่อทางการค้าว่า “VICTORIA’SSECRET” และ “วิคตอเรียซีเครท”โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทเป็น ชื่อทางการค้าของจำเลยทั้งสอง กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ ในนามของบุคคลซึ่งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามหรือชื่อทางการค้า จะร้องขอต่อศาล ให้สั่งห้ามได้ก็ต่อเมื่อการใช้นามหรือชื่อทางการค้าดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหาย อยู่สืบไปด้วย และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของนามหรือชื่อทางการค้านั้น มีหน้าที่นำสืบถึงความเสียหายนั้น แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ มาไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้าและชื่อทางการค้าของโจทก์ดังกล่าวไปใช้เป็นชื่อทางการค้า สำหรับสถานบริการประเภทภัตตาคาร ไนท์คลับและสถานออกกำลังกายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นการประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนไว้นั้น จะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเสื่อมเสียประโยชน์แต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยทั้งสองประกอบกิจการธุรกิจบริการก็เป็นธุรกิจที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับกิจการการค้าของโจทก์ซึ่งผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทของใช้ส่วนตัวเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีอันอาจทำให้โจทก์มีรายได้ในทางการค้าลดลงหรือทำให้โจทก์เสื่อมเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหายอื่นใด ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจขอให้สั่งห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้ใช้ชื่อทางการค้าดังกล่าวในการประกอบกิจการสถานบริการของ จำเลยทั้งสองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้คำว่า”วิคตอเรียซีเครท” และ อักษรโรมัน “VICTORIA’S SECRET”หรือ “VICTORIA SECRET” เป็นชื่อทางการค้าของจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เดือนละ 50,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกใช้ว่า”วิคตอเรียซีเครท” และอักษรโรมันคำว่า “VICTORIA’S SECRET”หรือ “VICTORIA SECRET”
จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิห้ามจำเลยทั้งสองใช้ชื่อในทางการค้าหรือเครื่องหมายบริการคำว่า “วิคตอเรีย ซีเครท” เพราะจำเลยทั้งสองประกอบกิจการคนละประเภทกับโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองประกอบกิจการสถานบริหารร่างกายและภัตตาคารซึ่งเป็นธุรกิจบริการและไม่ได้ใช้ชื่อดังกล่าวกับสินค้าใด ๆ การประกอบกิจการของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการแข่งขันกับกิจการของโจทก์หรือเห็นได้ว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอันจะกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ที่โจทก์เคยได้รับหรือได้รับความเสียหายดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองใช้ชื่อทางการค้าดังกล่าวจึงไม่ทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดทั้งจำเลยทั้งสองใช้ชื่อว่า “วิคตอเรีย ซีเครท” เป็นชื่อบริษัทจำเลยทั้งสองโดยได้รับอนุญาตจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นการรับรองใช้ชื่อจากหน่วยงานของรัฐ จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยที่คู่ความไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “VICTORIA’S SECRET”โดยจดทะเบียนไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2524 และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าประเภทของใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีกับผลิตภัณฑ์ชุดชั้นใน ตามเอกสารหมาย จ.11 แผ่นที่ 6 และ 7 และในปี 2532โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับใช้กับสินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มโจทก์ได้โฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจนแพร่หลายไปทั่วโลกเป็นเวลานานสำหรับในประเทศไทยโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเพื่อใช้กับสินค้าในจำพวกที่ 38 เดิม ตามหนังสือคู่มือรับจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการประเภทภัตตาคาร ส่วนจำเลยที่ 2 ประกอบกิจการสถานออกกำลังกายโดยกิจการของจำเลยทั้งสองดังกล่าวใช้ชื่อทางการค้าว่า”VICTORIA’S SECRET” และ “วิคตอเรียซีเครท” คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองระงับการใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทเป็นชื่อทางการค้าของจำเลยทั้งสองหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในนามของบุคคลซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 18 บัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลในการที่จะใช้นามอันชอบที่จะใช้ได้นั้น ถ้ามีบุคคลอื่นโต้แย้งก็ดี หรือบุคคลผู้เป็นเจ้าของนามนั้นต้องเสื่อมประโยชน์เพราะการที่มีผู้อื่นมาใช้นามเกี่ยวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้ก็ดี บุคคลผู้เป็นเจ้าของนามจะเรียกให้บุคคลนั้นระงับความเสียหายก็ได้ ถ้าและเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไป จะร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้” จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าบุคคลผู้เป็นเจ้าของนามหรือชื่อทางการค้าซึ่งต้องเสื่อมประโยชน์เพราะการที่มีผู้อื่นมาใช้นามหรือชื่อทางการค้าเดียวกันโดยมิได้รับอำนาจให้ใช้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามมิให้ใช้นามหรือชื่อทางการค้านั้นได้ก็ต่อเมื่อการใช้นามหรือชื่อทางการค้าดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไปด้วย และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของนามหรือชื่อทางการค้านั้นมีหน้าที่นำสืบถึงความเสียหายนั้น เกี่ยวกับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองใช้คำว่า “VICTORIA’S SECRET”ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าและชื่อทางการค้าของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของชื่อจำเลยทั้งสองและเป็นชื่อทางการค้าสำหรับสถานบริการของจำเลยทั้งสองนั้นโจทก์มีเพียงนางจริยา เปรมปราณีรัชต์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดว่าโจทก์ได้ร่วมลงทุนในกิจการของจำเลยทั้งสองด้วย ซึ่งทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง และยังทำให้สาธารณชนสับสนเพราะโจทก์ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าไม่ได้ประกอบกิจการสถานบริการเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้าและชื่อทางการค้าของโจทก์ดังกล่าวไปใช้เป็นชื่อทางการค้าสำหรับสถานบริการประเภทภัตตาคาร ไนท์คลับ และสถานออกกำลังกายของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นการประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนไว้นั้น จะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเสื่อมเสียประโยชน์แต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยทั้งสองประกอบกิจการธุรกิจบริการก็เป็นธุรกิจที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับกิจการการค้าของโจทก์ซึ่งผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทของใช้ส่วนตัวเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี อันอาจทำให้โจทก์มีรายได้ในทางการค้าลดลงหรือทำให้โจทก์เสื่อมเสียประโยชน์หรือได้รับความเสียหายอื่นใด ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียประโยชน์ต้องเสียหายหรือเป็นที่วิตกว่าจะต้องเสียหายอยู่สืบไป โจทก์จึงไม่อาจขอให้สั่งห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า”VICTORIA’S SECRET” หรือ “VICTORIA SECRET” หรือ”วิคตอเรียซีเครท” ในการประกอบกิจการสถานบริการของจำเลยทั้งสองดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน