คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทำสัญญาค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 ที่กู้เงินจากโจทก์ เมื่อการค้ำประกันหนี้เป็นกิจการที่จำเลยที่ 2 อาจได้รับอนุญาตให้กระทำได้ และอยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ด้วยฉะนั้น หากโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมรู้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ก็จะถือว่า นิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการฝ่าฝืนต้องห้ามโดยกฎหมาย ไม่ได้ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้เงิน 384,254.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยร่วมกันใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมใช้ชื่อว่าบริษัทบ้านและที่ดินไทย จำกัด มีวัตถุประสงค์หลายข้อ เฉพาะข้อ 5ระบุว่า ค้ำประกันหนี้ความรับผิดของบุคคลหรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม 2517 จำเลยที่ 2 ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ 3 ประเภทคือ กิจการเครดิตฟองซิเอร์กิจการรับซื้อฝาก และกิจการให้เช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเครดิตฟองซิเอร์บ้านและที่ดินไทย จำกัด เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2522 จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2522ตามเอกสารหมาย จ.ล.1 มีปัญหาว่าสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.ล.1 ได้กระทำขึ้นหลังจากพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 ใช้บังคับแล้ว ซึ่งตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าว มาตรา 54 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ กระทำการดังต่อไปนี้
(1) …………………………………………
(4) ประกอบกิจการอื่นใดนอกจากธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี………..” และจำเลยที่ 2 เป็นบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ประเภทกิจการเครดิตฟองซิเอร์ กิจการรับซื้อฝากและกิจการให้เช่าซื้อเท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงเป็นการประกอบกิจการอื่นนอกจากธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ในประเภทที่ได้รับอนุญาต แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าการค้ำประกันดังกล่าว มิใช่เป็นกิจการที่กฎหมายห้ามเด็ดขาดเพราะจำเลยที่ 2อาจได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้กระทำได้ ทั้งยังเป็นกิจการที่อยู่ในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ด้วย ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมรู้ด้วยว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายก็จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุประสงค์เป็นการฝ่าฝืนต้องห้ามโดยกฎหมายไม่ได้ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.ล.1 จึงมีผลใช้บังคับได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share