คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือนั้นกฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นไม่เมื่อโจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งมีใจความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และจำเลยรับจะชดใช้เงินแก่โจทก์ กับมีลายมือชื่อจำเลยในฐานะลูกหนี้ลงไว้มาแสดง ทั้งมีพยานบุคคลมาสืบประกอบอธิบายถึงมูลหนี้ดังกล่าว ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 653 บัญญัติไว้แล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและภริยาเป็นหนี้กู้ยืมและเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อประเภทอุปโภคและบริโภคไปจากโจทก์ โจทก์จำเลยได้เจรจาเรื่องหนี้สินกันที่สถานีตำรวจ ผลการเจรจาจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ทั้งสิ้น 19,780 บาท ได้บันทึกข้อตกลงไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญจำเลยได้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์เพียง500 บาท หลังจากนั้นไม่ยอมชำระให้อีก โจทก์มีหนังสือทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 19,780 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์ภริยาจำเลยเคยกู้เงินโจทก์จำนวน 7,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน โจทก์ได้ให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าไว้ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจหมายเรียกจำเลยและภริยาไปที่สถานีตำรวจพบกับโจทก์ โจทก์ได้ขู่บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อรับว่าเป็นหนี้แทนภริยาจำเลย จำเลยลงลายมือชื่อให้ไปโดยไม่สมัครใจบันทึกการรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือมาแสดงว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเท่าใด ซื้อสินค้าเชื่อไปเท่าใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 9,280 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 12สิงหาคม 2530 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ครั้งแรกจำนวน 5,000 บาท และครั้งที่สองจำนวน 1,500 บาทและโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญในการฟ้องร้องนั้น เห็นว่า สำหรับหนี้เงินกู้ครั้งแรกนั้น โจทก์นำสืบรับว่าจำเลยและภริยาจำเลยกู้เงินโจทก์ไปโดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่โจทก์ไว้ จึงเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์จะอาศัยหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.4ซึ่งมีใจความว่าโจทก์จำเลยได้พากันมาที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยเป็นหนี้เงินสดจำนวน 19,780 บาทจำเลยรับว่าจะชดใช้เงินให้แก่โจทก์โดยยังไม่ได้กำหนดเวลากับมีลายมือชื่อจำเลยลงไว้ในฐานะลูกหนี้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่คำว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือนั้น กฎหมายมิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้นไม่ เมื่อโจทก์มีหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีใจความว่าจำเลยเป็นหนี้เงินโจทก์จำนวน 19,780 บาท จำเลยรับจะชดใช้เงินให้แก่โจทก์ กับมีลายมือชื่อจำเลยในฐานะลูกหนี้ลงไว้มาแสดง และมีพยานบุคคลมาสืบประกอบอธิบายได้ว่าหนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้เงินจำนวนเท่าใด จากการซื้อสินค้าเชื่อจำนวนเท่าใดก็ถือได้ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติไว้แล้วที่จำเลยฎีกาเถียงข้อเท็จจริงว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ครั้งแรกจำนวน5,000 บาท นั้น เห็นว่าโจทก์และสามีโจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยและภริยาจำเลยได้ร่วมกันไปกู้เงินโจทก์ครั้งแรกจำนวน7,000 บาท โดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ จำเลยให้การรับว่าภริยาจำเลยเคยกู้เงินโจทก์จำนวน 7,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ในการนี้โจทก์ได้ให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าให้โจทก์ยึดถือไว้ เจือสมว่า จำเลยและภริยาจำเลยไปกู้เงินจำนวน 7,000 บาท ดังกล่าวจากโจทก์ ประกอบกับการที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4ซึ่งโจทก์นำสืบอธิบายได้ว่าจำนวนเงินดังกล่าวประกอบด้วยหนี้ค่าอะไรบ้าง พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ครั้งแรกไปจำนวน 7,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ครั้งแรกเพียง 5,000 บาทโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากข้อนำสืบของจำเลย ซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงนั้นเป็นประโยชน์ต่อจำเลยแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นส่วนหนี้เงินกู้ครั้งที่สองจำนวน 1,500 บาท นั้น เห็นว่าโจทก์และสามีโจทก์เบิกความว่า จำเลยได้กู้เงินของโจทก์ไปและทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมให้แก่โจทก์ไว้ ซึ่งโจทก์มีเอกสารหมายจ.1 มาแสดง เอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์ไปจำนวน 1,500 บาท กับมีลายมือชื่อจำเลยลงไว้ ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้เถียงว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.1 มิใช่ลายมือชื่อจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์ไปจำนวน 1,500บาท ตามเอกสารหมาย จ.1 จริง และเอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือเพราะมีใจความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์ไปจำนวน 1,500 บาท กับมีลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมลงไว้เป็นสำคัญ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยในหนี้เงินกู้ทั้งสองครั้งนั้นได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีในส่วนนี้มาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน.

Share