คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการปล้นทรัพย์และฆ่าคนตายนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เพียงแต่จับมือบุตรสาวผู้สายซึ่งยื่นอยู่ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุไว้ ไม่ได้ร่วมกระทำการฆ่าผู้ตายด้วย ทั้งไม่ได้ความว่ารู้ว่าจำเลยอื่นเจตนาฆ่าผู้ตายมาแต่ต้น จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้ายเท่านั้น
ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้ขวานตีศรีษะผู้ตาย 3 ที จำเลยที่ 1 ใช้ปืนสั้นจ่อยิงหน้าอกผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 พากันไปเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะแล้วหลบหนีไป เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสุดท้ายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์และฆ่าคนโดยเจตนา เพื่อจะเอาทรัพย์ที่จำเลยกับพวกทำการปล้นและเพื่อปกปิดหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๒๘๙,๘๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐,๒๘๙,๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ อันเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๒ และ ๓ กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น พิพากษา แก้เป็นว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคท้าย และ ๘๓ ให้จำคุกไว้ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาขั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์จริง คดีคงมีปัญหาต่อไปว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ ๑ ฆ่านายอาปุ่นผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ ตามฎีกาโจทก์ด้วยหรือไม่ นั้นได้พิเคราะห์แล้ว สำหรับจำเลยที่ ๓ ได้ความแต่เพียงว่าเป็นการปล้นนั้น จำเลยที่ ๓ จับข้อมือนางสาวกิมเกียวบุตรสาวผู้ตายยืนอยู่ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุเฉยๆ ไม่ได้ร่วมกระทำการฆ่าผู้ตายด้วย ทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๓ รู้ว่าจำเลยอื่นเจตนาฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่ต้น รูปคดีจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๓ ได้ร่วมฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ ๓ คงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นนถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสุดท้ายเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้ความว่า เมื่อเริ่มทำการปล้นได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ เข้าจับแขนนายอาปุ่นผู้ตายไว้คนละข้าง พร้อมกับลากผู้ตายเข้าไปข้างในร้านแล้วร่วมกันบังคับขู่เข็ญให้ผู้ตายบอกที่เก็บเงินและกุญแจ ผู้ตายไม่ยอมบอกและพยายามดิ้นจะหนี จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงช่วยกันทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยที่ ๒ ใช้ขวานตีศรีษะผู้ตาย ๓ ที จำเลยที่ ๑ ใช้ปืนสั้นจ่อยิงหน้าอกผู้ตาย ๑ นัด ผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๑ ที่๒ ต่างปล่อยมือผู้ตายพากันไปชักลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วช่วยกันเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะนั้นหลบหนีไป เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ฆ่าผู้ตาย เพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การปล้นทรัพย์หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา จำเลยที่ ๒ จึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสุดท้าย ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙,๓๔๐ วรรคสุดท้าย และมาตรา ๘๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ให้ประหารชีวิตนายอุมา หรืออาแว สะอะ หรือซาอะ จำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ไขคงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share