แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาส สั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวก รื้อกุฏิ 6 หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ 1 และกุฎิที่พระภิกษุโจทก์อาศัยอยู่ด้วยเพื่อไปปลูกรวมกับกุฎิอื่นให้เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นการบำรุงรักษาวัดจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 37(1) การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นเจ้าอาวาสวัดรวกสุทธารามมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของวัดและปกครองพระภิกษุซึ่งอยู่ในวัด ได้สั่งให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเคยเป็นพระภิกษุในวัดกับพวกเข้าไปในกุฏิและงัดกุญแจห้องของโจทก์กับรื้อถอนกุฏิอันเป็นเคหสถานในความครอบครองของโจทก์ จำเลยที่ ๒ กับพวกได้งัดกุญแจห้องของโจทก์แล้วรื้อถอนกุฏิทั้งหลังตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายรวมเป็นเงิน ๑๗,๗๖๐ บาท การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นการทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่าและทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ นอกจากนี้การกระทำของจำเลยที่ ๑ ยังเป็นการปฏิบัติและละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ ๒เป็นการสนับสนุนการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๔, ๘๖, ๑๕๗, ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องของโจทก์เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒ และ ๓๖๕
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่มาแก้ข้อหาแห่งคดีศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับแล้วยังจับไม่ได้ จึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ชั่วคราว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการใช้ให้จำเลยที่ ๒ กับพวกรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนที่จำเลยที่ ๒ กับพวกจะรื้อกุฏิ ๖ หลังโจทก์ไม่ได้อยู่ที่วัดรวกสุทธารามเพราะไปประกอบศาสนกิจที่จังหวัดราชบุรี โจทก์ใส่กุญแจห้องในกุฏิซึ่งเก็บทรัพย์สินบางอย่างของโจทก์ไว้ จำเลยที่ ๒ รื้อกุฏิที่โจทก์อาศัยในขณะที่โจทก์ไม่อยู่จำเลยที่ ๑ สั่งให้รื้อกุฏิ ๖ หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่ด้วย รื้อกุฏิที่จำเลยที่ ๑ อาศัยอยู่กับกุฏิอื่น ๆ รวม ๔ หลัง ก่อนรื้อกุฏิที่โจทก์อาศัยอยู่ เป็นการสั่งให้รื้อเพื่อไปปลูกรวมกับกุฏิที่อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์ อันเป็นการกระทำเพื่อให้กุฏิรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเป็นการบำรุงรักษาวัดจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๗(๑) การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน