คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14948/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การชำระหนี้ค่าสินค้าด้วยเช็ค เช็คนั้นอาจออกสั่งจ่ายโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ซื้อสินค้าก็ได้เพียงแต่หนี้ค่าสินค้านั้นมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็เข้าองค์ประกอบความผิดฐานออกเช็คตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ แล้ว
จำเลยสั่งจ่ายเช็คอันเป็นการออกเช็คทั้งสี่ฉบับ เพื่อชำระค่าสินค้านมผงเด็กให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ลงในเช็คซึ่งเป็นวันถึงกำหนดใช้เงินแต่ละฉบับ ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากของจำเลยในธนาคารตามเช็คที่จะพอจ่ายเงินตามเช็คแก่ผู้เสียหายได้ จำเลยจึงมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงจะให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1), (3) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยมีชื่อเป็นผู้ได้รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คธนาคาร 4 ฉบับ ซึ่งสามารถนำมาใช้เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวได้ ต่อมาบริษัทเอ แอนด์ เอ แมซ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้เสียหาย นำเช็คเหล่านี้เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสี่ฉบับ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คเหล่านั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์มีเพียงนายพงศ์ชฎิล ตำแหน่งหัวหน้าพนักงานขาย ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของผู้เสียหายปากเดียวมาเบิกความว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คทั้งสี่ฉบับให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระค่านมผงเด็กที่ร้านศิริรัตน์เภสัชซื้อไปจากผู้เสียหาย แต่นายพงศ์ชฎิลตอบคำถามค้านรับว่าเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้ไปแจ้งความดำเนินคดีแทนผู้เสียหายเท่านั้น แสดงว่ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้แก่ผู้เสียหาย รวมทั้งรายละเอียดตามเช็คเหล่านั้น แต่มาทราบเรื่องภายหลังจากรับมอบอำนาจไปร้องทุกข์ นายพงศ์ชฎิลไม่ใช่พยานที่รู้เห็นข้อเท็จจริง จึงมีลักษณะเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งไม่มีน้ำหนักรับฟัง โจทก์ไม่ได้นำพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายตามที่ปรากฏในใบส่งของ/ใบกำกับภาษี ซึ่งเป็นพยานที่ทราบเหตุโดยตรงมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับร้านศิริรัตน์เภสัชอย่างไร และจำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้านั้นจริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำผิด โจทก์ฎีกาว่านายพงศ์ชฎิลพยานโจทก์เป็นหัวหน้าของพนักงานขายของผู้เสียหายโดยตรง ย่อมต้องทราบดีว่าพนักงานขายคนใดนำสินค้าไปขายแก่ลูกค้ารายใด มีขั้นตอนการขาย การส่ง และการชำระค่าสินค้าอย่างไร จึงเป็นพยานที่ทราบเหตุคดีนี้ตั้งแต่แรกโดยตรง สามารถยืนยันถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างจำเลยกับร้านศิริรัตน์เภสัชได้ และจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คเหล่านี้เพื่อชำระค่าสินค้าดังกล่าวจริง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้นายพงศ์ชฎิลพยานโจทก์ไม่ใช่ผู้นำสินค้านมผงเด็กไปขายและรับเช็คมาจากร้านศิริรัตน์เภสัช แต่เชื่อว่าพยานซึ่งเป็นหัวหน้าของพนักงานขายของผู้เสียหายรู้ถึงการที่พนักงานขายของผู้เสียหายนำสินค้านมผงเด็กไปขายให้แก่ร้านศิริรัตน์เภสัช และได้รับเช็ค 4 ฉบับ ที่ชำระค่าสินค้ามาจากร้านดังกล่าว ซึ่งเมื่อพิจารณาจำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็ค 4 ฉบับ ตามลำดับ เห็นได้ว่ามีจำนวนเงินเท่ากับจำนวนที่ระบุในใบส่งของ/ใบกำกับภาษี ซึ่งระบุชื่อร้านค้าที่รับมอบสินค้าว่าร้านศิริรัตน์เภสัช เชื่อว่า เช็ค 4 ฉบับเหล่านี้เป็นเช็คซึ่งร้านศิริรัตน์เภสัชนำมาชำระค่าสินค้านมผงเด็กที่ซื้อไปจากผู้เสียหาย และข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำเบิกความของนายเอกรินทร์ พยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องการเปิดบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาบางบัวทอง กับคำเบิกความของจำเลยซึ่งรับว่าลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คเหล่านี้เป็นของจำเลยจริง เพียงแต่จำเลยเบิกความปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้านั้น ปัญหาต้องวินิจฉัยจึงมีว่า จำเลยออกเช็คโดยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คเหล่านี้เพื่อชำระค่าสินค้านมผงเด็กที่ร้านศิริรัตน์เภสัชซื้อไปจากผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า การชำระหนี้ค่าสินค้าด้วยเช็ค เช็คนั้นอาจออกสั่งจ่ายโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ซื้อสินค้าก็ได้เพียงแต่หนี้ค่าสินค้านั้นมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็เข้าองค์ประกอบความผิดฐานออกเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ แล้ว การที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คแม้จะอ้างว่าไม่ได้สั่งซื้อสินค้าที่ใช้เช็คเหล่านี้ชำระราคา แต่จำเลยก็ไม่เบิกความปฏิเสธว่าเช็คเหล่านี้ไม่ใช่เช็คที่ร้านศิริรัตน์เภสัชนำไปชำระค่าสินค้านมผงเด็กแก่ผู้เสียหาย ทั้งยังเบิกความว่าเป็นผู้ขอใบอนุญาตเปิดร้านขายยาชื่อดังกล่าวตามใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน และเป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารโดยใช้เช็ค กับเบิกความตอบคำถามค้านว่าจำเลยสมัครใจเปิดร้านดังกล่าวโดยใช้ชื่อและใช้เช็คของจำเลย จำเลยนำเช็คมาให้นางสาววัชรี ซึ่งเป็นคนรู้จักกัน ด้วยตนเอง นางสาววัชรีนี้จำเลยอ้างว่าเป็นผู้ขอให้จำเลยขออนุญาตเปิดร้านขายยาดังกล่าวให้ จำเลยไม่ได้นำสืบว่ากระทำการตั้งแต่ขออนุญาตเปิดร้านขายยา เปิดบัญชีเงินฝากเพื่อใช้เช็คและมอบเช็คให้นางสาววัชรีไปเพื่อการใด การที่จำเลยลงชื่อสั่งจ่ายในเช็คเหล่านี้มอบเช็คให้นางสาววัชรีหรือร้านดังกล่าวไว้ก็เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้นำเช็คนั้นไปชำระหนี้หรือชำระค่าสินค้าเกี่ยวข้องกับร้านได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเช็คฉบับแรกยังมีลายมือชื่อจำเลยลงกำกับการแก้ไขในช่องจ่ายแก่ใคร ซึ่งปรากฏชื่อบริษัทผู้เสียหายอยู่ด้วย ฉะนั้น จึงรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คอันเป็นการออกเช็คทั้งสี่ฉบับนั้นเพื่อชำระค่าสินค้านมผงเด็กให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อขณะวันที่ลงในเช็คซึ่งเป็นวันถึงกำหนดใช้เงินแต่ละฉบับ ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากของจำเลยในธนาคารตามเช็คที่จะพอจ่ายเงินตามเช็คแก่ผู้เสียหายได้ จำเลยจึงมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงจะให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็คที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่า จำเลยลงลายมือชื่อในเช็คไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความ และเช็ค 4 ฉบับนั้น หายไปนานแล้ว จำไม่ได้ว่าหายไปเมื่อใด จนลืมไปแล้ว และไม่ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ เพิ่งมาทราบหลังจากถูกจับดำเนินคดีนี้ นั้น จำเลยไม่ได้นำสืบต่อสู้ไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น เพิ่งมายกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ทั้งยังปรากฏว่ามีลายมือชื่อจำเลยลงกำกับการแก้ไขข้อความไว้ในช่องจ่ายเงินแก่ใครด้วย ซึ่งหากเป็นดังที่จำเลยอ้างก็จะไม่มีลายมือชื่อตรงนี้ ข้อต่อสู้นำสืบของจำเลยจึงไม่อาจนำมารับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แต่รับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงจะให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share