คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อฟังว่าจำเลยละเมิด แม้โจทก์จะสืบในเรื่องค่าเสียหายไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิด
ในฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยละเมิดปลูกห้องล้ำที่โจทก์ ทำให้น้ำฝนสาดห้องโจทก์เสียหาย 100 บาท แต่กลับสืบว่าทำให้น้ำฝนสาดยาม้วนของโจทก์เสียหาย 2 ม้วนเป็นเงิน 100 บาท ศาลวินิจฉัยค่าเสียหายให้โจทก์ 20 บาทดังนี้ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกห้องแถวชิดเข้ามาติดกับที่ดินของโจทก์และจำเลยทำชายคาทางด้านที่ดินต่อกับโจทก์รุกล้ำเข้ามาทางอากาศภายในเขตพื้นที่ของโจทก์กว้างประมาณ 2 ศอก ยาวประมาณ 3 วาเมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนที่ชายคาของจำเลยจึงไหลพุ่งเข้ามาเปียกฝาห้องแถวของโจทก์ทำให้ฝาห้องโจทก์เสียหาย 100 บาท ได้ห้ามและให้จำเลยรื้อออกไปจำเลยไม่ยอม จึงขอให้บังคับ

จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย

ศาลชั้นต้นฟังว่าหลังคาเรือนจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางอากาศจริงเป็นเหตุให้น้ำฝนจากชายคาเรือนจำเลยไหลสาดเข้าไปในฝาโรงของโจทก์และยาม้วนของโจทก์เสียหายไป 10 ม้วนราคา 100 บาท ส่วนค่าสินไหมทดแทนโจทก์ฟ้องว่าทำให้ฝาโรงโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 100 บาทโจทก์นำสืบว่ายาม้วนเสียหาย 100 บาท ข้อเสียหายโจทก์สืบไม่สม แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อฟังว่าจำเลยละเมิดจำเลยก็ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 420 แม้จะถือว่าโจทก์สืบไม่ได้ ศาลก็วินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงตาม มาตรา 438 เห็นควรให้ค่าเสียหาย 20 บาท พิพากษาบังคับให้จำเลยรื้อถอนหลังคาเรือนจำเลยให้พ้นไปจากที่ดินของโจทก์ให้เหลือเพียงเท่าที่เวลาน้ำตกจากชายคาจำเลยลงตรงเขตเสาหินมิให้ตกลงยังทรัพย์สินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย 20 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อฟังว่าจำเลยละเมิดสิทธิต่อโจทก์เป็นเหตุให้น้ำฝนจากชายคาเรือนจำเลยไหลเข้าไปถูกฝาโรงโจทก์ แม้โจทก์จะสืบไม่ได้ว่าการที่น้ำฝนไปถูกฝาเรือนโจทก์เสียหายเท่าใดศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ตามสมควร

พิพากษายืน

Share