แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการขายนาพิพาท มิได้บังคับว่าผู้ให้เช่านาจะต้องแจ้งการขายนาแก่ผู้เช่านาด้วยตนเองดังนั้น ผู้ให้เช่านาจึงอาจมอบให้นายอำเภอเป็นผู้แจ้งการขายแทนได้ แม้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 ที่ออกใช้ภายหลัง ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา 53ว่า ให้ผู้ให้เช่านาแจ้งการขายโดยยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบอีกทีหนึ่งหาใช่บัญญัติให้ผู้ให้เช่านาแจ้งต่อผู้เช่านาโดยตรงไม่อย่างไรก็ตามเมื่อการขายนาพิพาทได้กระทำไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2522 ผู้เช่านาจะอ้างพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ ซึ่งเพิ่งจะออกใช้บังคับภายหลังในปี 2524 มาเพื่อให้มีผลลบล้างการขายก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ใช้บังคับหาได้ไม่ การที่เจ้าของนาผู้ให้เช่าจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่าความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้นและเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาก็ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้ ผู้เช่านาฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่านาโอนขายที่ดินให้ในราคาไร่ละ15,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,512,927.50 บาทผู้ให้เช่านาให้การต่อสู้ว่าผู้เช่านาไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้โอนขายให้ได้ดังนี้ เป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา 2,512,987.50 บาท ผู้เช่านาต้องเสียค่าขึ้นศาล ตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้เช่านาของจำเลยที่ 1 คนละ 60, 45 และ 60 ไร่ ตามลำดับ ที่ดินที่เช่านี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดใหญ่รวม 3 โฉนดเนื้อที่ 404 ไร่เศษจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้ง 3 โฉนดให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 คิดราคาเฉลี่ยไร่ละ 15,000 บาท ได้รับมัดจำไว้แล้ว นายอำเภอคลองหลวงในฐานะประธานกรรมการควบคุมการเช่านาได้มีหนังสือแจ้งการขายมายังโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสามกับพวกได้มีหนัสือขอเสนอชื่อไปยังนายอำเภอ ได้มีการเจรจากันแต่ไม่เป็นผล ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือพร้อมจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปโดยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยที่ 2 ยังได้จำนองที่ดินเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้มีชื่อ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าและบุกรุกเข้าไถนาในส่วนที่โจทก์ทั้งสามเช่าอยู่ การซื้อขายดังกล่าวไม่ชอบและขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเช่าในราคาเฉลี่ยไร่ละ 15,000 บาทโดยปลอดจำนอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 โอนขายที่นาพิพาทโดยชอบและถูกต้องตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาฯ แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องบังคับซื้อจากจำเลยทั้งสี่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยที่ 1แจ้งการขายให้โจทก์ทั้งสามทราบโดยชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 มอบให้นายอำเภอคลองหลวงทำหนังสือแจ้งการขายที่ดินพิพาทมายังโจทก์ตามเอกสารหมายล.3 และ ล.12 ถึง ล.21 ไม่มีผลเป็นการแจ้งโดยชอบ เพราะตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 ซึ่งถูกยกเลิกและใช้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 แทนนั้น มีความหมายว่าผู้ให้เช่านาคือจำเลยที่ 1 ต้องแจ้งแก่ผู้เช่าด้วยตนเอง จะมอบให้ผู้อื่นแจ้งแทนไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำการขายนารายพิพาทบัญญัติไว้ในมาตรา 41 ว่า ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาซึ่งเช่านาแปลงนั้นทราบพร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินโดยมิได้บังคับว่าผู้ให้เช่านาจะต้องแจ้งด้วยตนเอง ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงอาจมอบให้นายอำเภอเป็นผู้แจ้งการขายแทนได้ แม้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ที่ออกใช้ภายหลังการขายที่ดินรายพิพาทนี้ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา 53 ว่า ให้ผู้ให้เช่านาแจ้งการขายโดยยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบอีกทีหนึ่ง หาใช่บัญญัติให้ผู้ให้เช่านาแจ้งต่อผู้เช่านาโดยตรงดังที่โจทก์อ้างไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่แจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายหลังที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 แล้ว เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การขายที่นารายพิพาทนี้ได้กระทำไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2522 แล้ว โจทก์จะอ้างพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งเพิ่งจะออกใช้บังคับภายหลังในปี 2524 มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้มีผลลบล้างการขายก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้หาได้ไม่ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยหรือตีความหมายของพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ว่าจะเป็นไปดังที่โจทก์อ้างในฎีกาจริงหรือไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า การแจ้งขายรวมทั้งแปลงก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทั้งสามแบ่งเช่าที่นาของจำเลยเพียงบางส่วนในโฉนด แต่จำเลยที่ 1 แจ้งขายมาทีเดียวทั้งแปลงเต็มโฉนดจึงไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่เจ้าของนาผู้ให้เช่านาจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่า ความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้น และเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาที่ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้ แต่คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามกับพวกได้มีหนังสือเสนอขอซื้อนาของจำเลยที่ 1 รวมทั้งสามแปลงโดยเต็มโฉนดเอง แต่ขอซื้อในราคาเพียงไร่ละ 11,000 บาทซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าที่ผู้ให้เช่าแจ้งมาในราคาไร่ละ 15,000 บาทดังปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมาย 7 แสดงว่าโจทก์เองก็พอใจที่จะซื้อที่นาพิพาทโดยเต็มโฉนดหมดทั้งแปดเช่นกัน ฉะนั้นโจทก์จะอ้างว่าการแจ้งขายของจำเลยที่ 1 ทั้งแปลงเป็นการไม่ชอบหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชอบที่จะเรียกค่าขึ้นศาลจากโจทก์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดิน 167 ไร่ 2 งาน 13 ตารางวาแก่โจทก์ในราคาไร่ละ 15,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,512,987.50 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายให้โจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าเป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา 2,512,987.50 บาท จึงสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน