คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์เป็นผู้เช่าอาคารและบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีต่อมาสัญญาเช่าหมดอายุ ทางราชการได้อนุมัติให้ ธ เป็นผู้เช่าในนามของคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โจทก์ก็ยังคงอยู่ในที่เช่าและคงขายธูป เทียน และทองอีกต่อไปจำเลยได้ออกประกาศมีข้อความว่า ‘โปรดทราบ ดอกไม้ ธูป เทียนทอง น้ำมัน ของเจ้าพ่อมีจำหน่ายที่ศาลาเพียงแห่งเดียว รายได้ทั้งนำมาบำรุงเจ้าพ่อ ร้านที่ขายอยู่เก่าหมดสัญญาแล้ว แต่ยังดื้อขายอยู่เพื่อเอารายได้เป็นของตัวเอง คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี’ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าตั้งแต่ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ไม่เคยนำเงินรายได้และค่าเช่าไปมอบให้ทางราชการเลย แสดงว่าโจทก์จำหน่ายสิ่งของดังกล่าวแล้วเอารายได้เป็นของตนเอง พฤติการณ์ของโจทก์จึงเป็นความจริงตามประกาศของจำเลย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการในคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีมีหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินกิจการศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จำเลยที่ 5 ที่ 6 เป็นลูกจ้างคนงานของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จำเลยทั้งหกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินกิจการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองซึ่งเป็นการกุศลสาธารณประโยชน์และประชาชนทั่วไปมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วย การที่จำเลยทั้งหกประกาศข้อความดังกล่าวโดยสุจริตเพื่อชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๘๓, ๓๒๖, ๓๒๘,๓๓๒
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประกาศของจำเลยมีข้อความว่า “โปรดทราบ ดอกไม้ธูป เทียน ทอง น้ำมัน ของเจ้าพ่อมีจำหน่ายที่ศาลาเพียงแห่งเดียว รายได้ทั้งหมดนำมาบำรุงเจ้าพ่อ ร้านที่ขายอยู่เก่าหมดสัญญาแล้ว แต่ยังดื้อขายอยู่เพื่อเอารายได้เป็นของตัวเอง คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี” เห็นว่าตามพฤติการณ์ของโจทก์นั้น เมื่อสัญญาเช่าที่โจทก์ทำกับทางราชการหมดอายุแล้วและทางราชการได้อนุมัติให้นายธงชัยเป็นผู้เช่าในนามของคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ก็ยังคงอยู่ในที่เช่า และคงขายธูปเทียนและทองอีกต่อไป และโจทก์เบิกความยอมรับว่า “นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดสัญญาฉบับสุดท้าย ข้าฯ ไม่เคยนำเงินรายได้และเงินค่าเช่าไปมอบให้กับทางอำเภอเมืองสุพรรณบุรีเลย ฯลฯ” แสดงว่าโจทก์จำหน่ายสิ่งของดังกล่าวแล้วเอารายได้เป็นของตนเอง พฤติการณ์ของโจทก์จึงเป็นความจริงตามประกาศของจำเลย จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นกรรมการในคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี มีหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินกิจการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ เป็นลูกจ้างคนงานของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ถือได้ว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการดำเนินกิจการของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป็นการกุศลสาธารณประโยชน์และประชาชนทั่วไปมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วย จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งหกประกาศข้อความตามฟ้องโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑) จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้องคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share