คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการขายนาพิพาท มิได้บังคับว่าผู้ให้เช่านาจะต้องแจ้งการขายนาแก่ผู้เช่านาด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้ให้เช่านาจึงอาจมอบให้นายอำเภอเป็นผู้แจ้งการขายแทนได้ แม้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ที่ออกใช้ภายหลัง ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา 53 ว่า ให้ผู้ให้เช่านาแจ้งการขายโดยยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบอีกทีหนึ่ง หาใช่บัญญัติให้ผู้ให้เช่านาแจ้งต่อผู้เช่านาโดยตรงไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อการขายนาพิพาทได้กระทำไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2522 ผู้เช่านาจะอ้างพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ ซึ่งเพิ่งจะออกใช้บังคับภายหลังในปี 2524 มาเพื่อให้มีผลลบล้างการขายก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ใช้บังคับหาได้ไม่
การที่เจ้าของนาผู้ให้เช่าจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่า ความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้นและเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาก็ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้
ผู้เช่านาฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่านาโอนขายที่ดินให้ในราคาไร่ละ15,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,512,927.50 บาท ผู้ให้เช่านาให้การต่อสู้ว่าผู้เช่านาไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้โอนขายให้ได้ ดังนี้ เป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา 2,512,987.50 บาท ผู้เช่านาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้เช่านาของจำเลยที่ ๑ คนละ ๖๐, ๔๕ และ ๖๐ ไร่ตามลำดับ ที่ดินที่เช่านี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดใหญ่รวม ๓ โฉนดเนื้อที่ ๔๐๔ ไร่เศษ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้ง ๓ โฉนดให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คิดราคาเฉลี่ยไร่ละ ๑๕,๐๐๐ บาท ได้รับมัดจำไว้แล้ว นายอำเภอคลองหลวงในฐานะประธานกรรมการควบคุมการเช่านาได้มีหนังสือแจ้งการขายมายังโจทก์ที่ ๑ โจทก์ทั้งสามกับพวกได้มีหนังสือขอเสนอชื่อไปยังนายอำเภอ ได้มีการเจรจากันแต่ไม่เป็นผล ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือพร้อมจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปโดยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยที่ ๒ ยังได้จำนองที่ดินเฉพาะส่วนของตนไว้แก่ผู้มีชื่อ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าและบุกรุกเข้าไถนาในส่วนที่โจทก์ทั้งสามเช่าอยู่ การซื้อขายดังกล่าวไม่ชอบและขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเช่าในราคาเฉลี่ยไร่ละ ๑๕,๐๐๐ บาทโดยปลอดจำนอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ ๑ โอนขายที่นาพิพาทโดยชอบและถูกต้องตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา ฯ แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องบังคับซื้อจากจำเลยทั้งสี่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยที่ ๑ แจ้งการขายให้โจทก์ทั้งสามทราบโดยชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ มอบให้นายอำเภอคลองหลวงทำหนังสือแจ้งการขายที่ดินพิพาทมายังโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.๓ และ ล.๑๒ ถึง ล.๒๑ ไม่มีผลเป็นการแจ้งโดยชอบ เพราะตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔๑ ซึ่งถูกยกเลิกและใช้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ แทนนั้น มีความหมายว่าผู้ให้เช่านาคือจำเลยที่ ๑ ต้องแจ้งแก่ผู้เช่าด้วยตนเอง จะมอบให้ผู้อื่นแจ้งแทนไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยที่ ๑ กระทำการขายนารายพิพาทบัญญัติไว้ในมาตรา ๔๑ ว่า ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาซึ่งเช่านาแปลงนั้นทราบพร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน โดยมิได้บังคับว่าผู้ให้เช่านาจะต้องแจ้งด้วยตนเอง ดังนั้นจำเลยที่ ๑ จึงอาจมอบให้นายอำเภอเป็นผู้แจ้งการขายแทนได้ แม้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่ออกใช้ภายหลังการขายที่ดินรายพิพาทนี้ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา ๕๓ ว่า ให้ผู้ให้เช่านาแจ้งการขายโดยยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบอีกทีหนึ่ง หาใช่บัญญัติให้ผู้ให้เช่านาแจ้งต่อผู้เช่านาโดยตรงดังที่โจทก์อ้างไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่แจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายหลังที่จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แล้ว เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การขายที่นารายพิพาทนี้ได้กระทำไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ แล้ว โจทก์จะอ้างพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งเพิ่งจะออกใช้บังคับภายหลังในปี ๒๕๒๔ มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้มีผลลบล้างการขายก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้หาได้ไม่ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยหรือตีความหมายของพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ว่าจะเป็นไปดังที่โจทก์อ้างในฎีกาจริงหรือไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า การแจ้งขายรวมทั้งแปลงก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทั้งสามแบ่งเช่าที่นาของจำเลยเพียงบางส่วนในโฉนด แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งขายมาทีเดียวทั้งแปลงเต็มโฉนดจึงไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่เจ้าของนาผู้ให้เช่านาจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่า ความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้น และเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาที่ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้ แต่คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามกับพวกได้มีหนังสือเสนอขอซื้อนาของจำเลยที่ ๑ รวมทั้งสามแปลงโดยเต็มโฉนดเอง แต่ขอซื้อในราคาเพียงไร่ละ ๑๑,๐๐๐ บาทซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าที่ผู้ให้เช่าแจ้งมาในราคาไร่ละ ๑๕,๐๐๐ บาทดังปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมาย ๗ แสดงว่าโจทก์เองก็พอใจที่จะซื้อที่นาพิพาทโดยเต็มโฉนดหมดทั้งแปดเช่นกัน ฉะนั้นโจทก์จะอ้างว่าการแจ้งขายของจำเลยที่ ๑ ทั้งแปลงเป็นการไม่ชอบหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชอบที่จะเรียกค่าขึ้นศาลจากโจทก์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดิน ๑๖๗ ไร่ ๒ งาน ๑๓ ตารางวาแก่โจทก์ในราคาไร่ละ ๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒,๕๑๒,๙๘๗.๕๐ บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายให้โจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าเป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา ๒,๕๑๒,๙๘๗.๕๐ บาท จึงสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share