แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนฟ้องคดีแปดวัน ลูกหนี้ได้โอนขายอาคารโรงเรียนซึ่งปลูกอยู่ในที่เช่าให้แก่เจ้าของที่ดินที่เช่า คือ ผู้คัดค้านในคดีนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ด้วยคนหนึ่งในราคา 300,000 บาท (น้อยกว่าราคาจริง)โดยไม่มีการชำระราคากัน แต่มีข้อสัญญาว่า หนี้สินต่าง ๆ ของลูกหนี้ให้ผู้คัดค้านรับเป็นลูกหนี้ชำระให้เอง ส่วนหนี้สินต่าง ๆของผู้คัดค้านที่ค้างอยู่กับลูกหนี้ ผู้คัดค้านยอมยกให้แก่ลูกหนี้ทั้งหมดลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นอีก การรับโอนของผู้คัดค้านและวิธีการชำระหนี้ของลูกหนี้ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งประสงค์ให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับชำระหนี้โดยเสมอหน้ากัน การโอนทรัพย์ของลูกหนี้ดังกล่าวเห็นได้ว่า ทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ซึ่งมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนเสียได้
ย่อยาว
คดีนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องว่านางสมวรรณ ท้าวสัน ได้ฟ้องนายสมพงษ์ ดาวพิเศษ ให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลได้มีคำสั่งลงวันที่๓๐ เมษายน ๒๕๐๘ ให้พิทักษ์ทรัพย์นายสมพงษ์ ดาวพิเศษ เด็ดขาดแล้วตามทางสอบสวนพบว่านายสมพงษ์ลูกหนี้ได้เช่าที่ดินนายทองเติบ สุวรรณินผู้คัดค้านประมาณ ๖ ไร่ ทำการก่อสร้างโรงเรียนสมพงษ์เซ็นปีเตอร์ขึ้นเป็นอาคารเรียน ๒ ชั้น ๒ หลัง ๓ ชั้น ๑ หลัง และอาคารสำนักงานกับโรงอาหารอย่างละ ๑ หลัง ห้องส้วม ๔ หลัง เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึง ๒๕๐๗ ไม่มีกำไรเลย เนื่องจากกู้ยืมเงินจากผู้อื่นมาลงทุน เป็นเหตุให้มีหนี้สินมาก ก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง ๘ วัน ลูกหนี้ได้โอนขายตัวอาคารเรียนและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้แก่ผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและเป็นเจ้าหนี้คนหนึ่งของลูกหนี้ ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาทโดยไม่มีการชำระเงินกันเลยเป็นแต่ตกลงกันก่อนโอนว่า ผู้คัดค้านจะชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายแทนลูกหนี้เท่านั้น อันเป็นการโอนทรัพย์ในเวลา ๓ เดือนก่อนถูกฟ้องและในเวลา ๓ ปี ก่อนลูกหนี้ล้มละลาย จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓มาตรา ๑๑๔ และ ๑๑๕ เพราะทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ
นายทองเติบ สุวรรณิน คัดค้านว่าการโอนดังกล่าวไม่อยู่ในข่ายที่จะถูกเพิกถอน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การโอนดังกล่าวลูกหนี้มีความมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนเสีย
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องจึงฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการโอนดังกล่าวได้ความว่า ลูกหนี้ใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารไป ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ตามสัญญาลูกหนี้โอนขายเพียง ๓๐๐,๐๐๐ บาท มีข้อตกลงให้ผู้คัดค้านชำระหนี้แทนตามบัญชีรายชื่อเจ้าหนี้ทั้งหมดที่ได้มอบให้โดยไม่รับเงินในการขายเลยต่อมามีเจ้าหนี้ไปคัดค้านที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้คัดค้านจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมกับเจ้าหนี้ซึ่งรวมทั้งเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ เจ้าหนี้จึงได้ถอนการคัดค้าน อันเป็นผลให้โอนกิจการโรงเรียนได้ แต่แล้วผู้คัดค้านก็มิได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญา เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จึงได้ยื่นฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายดังกล่าวมาแล้ว และได้ความต่อไปว่าเจ้าหนี้ผู้คัดค้านสัญญาจะชำระแทนลูกหนี้นั้นเป็นเจ้าหนี้ที่ผู้คัดค้านได้ค้ำประกันไว้เท่านั้น ซึ่งผู้คัดค้านมีความผูกพันจะต้องชำระแทนอยู่แล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการโอนดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งประสงค์ให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคทั่วหน้ากัน การโอนทรัพย์ของลูกหนี้ดังกล่าวเห็นได้ว่าทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ๆ ซึ่งมาตรา ๑๑๕ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น