แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะมีระเบียบเกี่ยวกับบำเหน็จพนักงาน กำหนดให้พนักงานหญิงทั่วไปซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แต่สำหรับตำแหน่งของโจทก์คือตำแหน่งหัวหน้าส่วนที่เรียกว่าผู้จัดการส่วนไม่ปรากฏว่าโดยลักษณะหรือสภาพของงานในตำแหน่งนี้ไม่อาจกำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์อย่างพนักงานชายได้ ในเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยระเบียบนี้จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าการเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโดยอาศัยระเบียบซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน เป็นอุทธรณ์ในปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมอุทธรณ์ได้ แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย 1,499,550 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าส่วนที่เรียกว่าผู้จัดการส่วน จำเลยมีระเบียบเกี่ยวกับตำแหน่งพนักงานฉบับแก้ไข พ.ศ.2530 ข้อ 4 สรุปได้ว่าพนักงานหญิงทั่วไปซึ่งมีตำแหน่งตำกว่าผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เมื่อประมาณปี 2540 ถึง 2541 เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจำเลยประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง จึงทำให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้เข้าถือหุ้นในกิจการของจำเลยเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะบียนของจำเลยตามแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินของรัฐบาล การเข้าถือหุ้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินดังกล่าวทำให้จำเลยเปลี่ยนเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐวิสาหกิจเช่นจำเลยได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ และผลประโยชน์ตอบแทนของพนักงาน โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ้างเดิมตามเอกสารหมาย ล.9 วันที่ 15 มีนาคม 2544 จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานมีผลตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2544 เนื่องจากโจทก์มีอายุ 55 ปี โจทก์มีตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าส่วนซึ่งต่ำกว่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายของจำเลยและโจทก์มีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 19 เมษายน 2544 จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยสามารถเลิกจ้างโจทก์ตามระเบียบเดิม การเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว การกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อยกเว้นตามมติของคณะรัฐมนตรีเอกสารหมาย ล.9 ไม่ครอบคลุมถึงเงื่อนไขและสภาพแห่งการจ้าง ระเบียบเดิมไม่สามารถใช้บังคับแก่การเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยได้ อีกทั้งระเบียบเดิมของจำเลยมีลักษณะเลือกปฏิบัติระหว่างลูกจ้างที่เป็นชายและหญิงขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ในข้อที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น กฎหมายเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจที่โจทก์อ้างเป็นบทบัญญัติทั่วไปที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถกำหนดคุณสมบัติและเหตุที่จะพ้นตำแหน่งพนักงานนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อมติคณะรัฐมนตรีตามเอกสารหมาย ล.9 มิให้นำคำสั่ง กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจที่เกิดจากการแทรกแซงเข้าถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเช่นจำเลย จำเลยจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของระเบียบเดิม ส่วนในข้อที่เกี่ยวกับความแตกต่างกันระหว่างการเกษียณอายุของพนักงานที่เป็นหญิงและเป็นชายตามระเบียบดังกล่าวนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะมีระเบียบเกี่ยวกับบำเหน็จพนักงานฉบับแก้ไข พ.ศ.2530 กำหนดในข้อ 4 ให้พนักงานหญิงทั่วไปซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แต่สำหรับตำแหน่งของโจทก์คือตำแหน่งหัวหน้าส่วนที่เรียกว่าผู้จัดการส่วน ไม่ปรากฏว่าโดยลักษณะหรือสภาพของงานในตำแหน่งนี้ไม่อาจกำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์อย่างพนักงานชายได้ ในเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยระเบียบนี้จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน อนึ่ง แม้ในข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง แต่การเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโดยอาศัยระเบียบซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งโจทก์ย่อมอุทธรณ์ได้แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง และในเมื่อการเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้วก็เป็นเรื่องที่ศาลแรงงานกลางจะต้องใช้ดุลพินิจสั่งให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ในชั้นนี้จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาใช้ดุลพินิจดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาโดยนัยที่กล่าวข้างต้นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี