คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7203/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ได้เคยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกโฉนดที่ดินพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมรดกที่ดินมีโฉนดจากบิดามารดาประมาณ 15 ปี แล้วครอบครองตลอดมานั้นการขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวและการให้ถ้อยคำเช่นว่า เป็นการยอมรับต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่บ้านโดยรับมรดกจากบิดามารดา การออกโฉนดได้กระทำโดยเปิดเผยตามระเบียบของทางราชการ ส่วนที่ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของตนที่ได้ปลูกบ้านแยกครัวเรือนออกไป ย่อมเป็นเรื่องปกติของผู้เป็นมารดายกทรัพย์อันเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทรุ่นถัดไปของตนตามประเพณีนิยมทั่วไป เพราะจำเลยที่ 1 เชื่อว่าเป็นสิทธิของตนที่จะได้ทรัพย์มรดกนี้ไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความมุ่งหมายที่จะยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น จึงไม่ถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกให้เพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 67349 เมื่อวันที่ 3มกราคม 2539 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้จำเลยที่ 1โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งห้า ให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิครอบครองทางทะเบียนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 754 ให้โจทก์ทั้งห้า หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 67349 หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 652 และ 754ต่อศาลเพื่อโจทก์ทั้งห้าจะขอรับไปโอนสิทธิทางทะเบียนตามคำพิพากษาห้ามจำเลยทั้งสามพร้อมบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาททั้งสามแปลงอีกต่อไป

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินโฉนดเลขที 67349ตำบลเชียงยืน อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ลงวันที่ 3 มกราคม2539 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้โจทก์ทั้งห้ามีส่วนได้ในทรัพย์มรดกที่ดินพิพาททั้งสามแปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 67349 พร้อมบ้านเลขที่ 33 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 754 และ 652 หรือโฉนดเลขที่ 90207 ตำบลเชียงยืน อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี คนละหนึ่งในเจ็ดส่วนให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกดังกล่าวให้โจทก์ทั้งห้าตามส่วน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นให้ยก

โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ถูกกำจัดให้ได้มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 67349, 90207 ตั้งอยู่ตำบลเชียงยืน อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี และที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 754 ตั้งอยู่ตำบลเชียงยืน อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์ทั้งห้าในโฉนด และ น.ส.3 ก. ดังกล่าวให้มีสิทธิคนละหนึ่งในหกส่วน ห้ามจำเลยที่ 1 เข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาททั้งสามแปลงอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่า ทรัพย์มรดกมีที่ดินจำนวน 3 แปลง แปลงที่หนึ่งเป็นที่ดินปลูกบ้านตามโฉนดเลขที่ 67349 เอกสารหมาย จ.6 แปลงที่สองเป็นที่นาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 754 เอกสารหมาย จ.7 แปลงที่สามเป็นที่สวนตามโฉนดเลขที่ 90207 เอกสารหมาย ล.2 ซึ่งออกตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 652เอกสารหมาย จ.9 โจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 1 กับนางทองมา สุภะดีเป็นทายาทของกองมรดกนี้ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1มีว่าจำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกเพราะเหตุยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกหรือไม่ โจทก์ทั้งห้า มีโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปลายปี 2538 ทายาททั้งหมดได้ขอให้จำเลยที่ 1แบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1 ไม่ยอมแบ่งกลับจดทะเบียนโอนที่บ้านให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในวันที่ 3 มกราคม 2539 โจทก์ที่ 1 เบิกความยืนยันด้วยว่า จำเลยที่ 1 ประกาศขายที่นาและที่สวน เห็นว่า สำหรับที่บ้านนั้นตามใบไต่สวนเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินมาโดยรับมรดกจากบิดามารดา ประมาณ 15 ปี แล้วครอบครองตลอดมาเจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบแล้วมีบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เลขที่ 33 ปลูกมา15 ปี การที่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินที่บ้านดังกล่าว จำเลยที่ 1ให้ถ้อยคำเช่นว่านั้น ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการยอมรับต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่บ้านโดยรับมรดกจากบิดามารดา การออกโฉนดได้กระทำโดยเปิดเผยตามระเบียบของทางราชการ หลังจากที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนชื่อตนเป็นเจ้าของที่บ้านดังกล่าวแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของตนซึ่งได้ปลูกบ้านแยกครัวเรือนออกไปอยู่ในที่แปลงเดียวกันนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติของผู้เป็นมารดายกทรัพย์อันเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทรุ่นถัดไปของตน ตามประเพณีนิยมทั่วไปเพราะจำเลยที่ 1 เชื่อว่าเป็นสิทธิของตนที่จะได้ทรัพย์มรดกนี้ไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีความมุ่งหมายที่จะยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นสำหรับที่นาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 754 เอกสารหมายจ.7 ได้ความตามแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520เอกสารหมาย จ.8 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ที่นาโดยรับมรดกการครอบครองต่อเนื่องจากนางนาง สุภะดี (มารดา) เมื่อ พ.ศ. 2504 รวมเวลาการครอบครองและทำประโยชน์จนถึงวันที่สำรวจ 16 ปี ส่วนที่สวนตามโฉนดเลขที่ 90207 เอกสารหมาย ล.2 ซึ่งออกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 652 เอกสารหมาย จ.9 ซึ่งมีชื่อนายจันดา เป็นเจ้าของแต่ตามโฉนดเลขที่ 90207 มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยปกติของการออกโฉนดต้องมีขั้นตอนในการสอบสวนสิทธิและวิธีการต่าง ๆ ตามระเบียบของทางราชการโดยเปิดเผย เช่นนี้จำเลยที่ 1 ต้องเข้าใจว่าตนเป็นเจ้าของที่นาและที่สวนโดยชอบแล้ว การประกาศขายที่นาและที่สวนนั้นหากผู้ประกาศขายมีความเข้าใจว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้นแล้วก็ย่อมไม่ใช่การยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น จำเลยที่ 1 จึงไม่ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share