คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ว่าถูกทนายโจทก์กับเสมียนศาลขู่ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลเป็นผู้จัดทำให้ แต่เมื่อผู้พิพากษาผู้พิจารณาตรวจรับอุทธรณ์ของจำเลย เรียกจำเลยกับ ส.เสมียนหน้าบัลลังก์ในคดีนี้มาสอบถามพร้อมกัน จำเลยก็แถลงยืนยันว่า ส. มิได้พูดขู่เข็ญให้จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญายอม จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีตามที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าโจทก์ถูกหลอกลวงฉ้อฉลให้ทำสัญญายอมและทนายจำเลยไม่รักษาผลประโยชน์ของลูกความ ขอให้พิพากษายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความ และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้บังคับคดีไปตามสัญญาประนอมยอมความจำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏตามเอกสารและหลักฐานในสำนวนพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานอีกแต่อย่างใด ที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างมาในอุทธรณ์เป็นทำนองว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเกิดจากการฉ้อฉลไม่ตรงกับที่โจทก์ได้พูดตกลงไว้ และทนายโจทก์กับเสมียนศาลเอาสัญญาประนีประนอมยอมความมาข่มขู่ให้จำเลยลงลายมือชื่อโดยไม่อ่านข้อความให้ฟังนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ (เอกสารในสำนวน อันอับ 83)ศาลเป็นผู้จัดทำให้โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาพิพากษาคดีนี้เป็นผู้เขียนหมายเองตลอดทั้งฉบับในแบบพิมพ์สัญญาประนีประนอมยอมความของศาล และผู้พิพากษา2 นายที่เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาก็ได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาด้วย มองไม่เห็นว่าจะเป็นการทำขึ้นโดยการฉ้อฉลดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด และในเรื่องที่จำเลยว่า ถูกทนายโจทก์กับเสมียนศาลขู่ให้ลงลายมือชื่อในสัญญา ก็ปรากฏว่าในวันที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ เมื่อผู้พิพากษาผู้พิจารณาตรวจรับอุทธรณ์ของจำเลยเรียกจำเลยทั้งสองกับนายสมพร เสมียนหน้าบัลลังก์คดีนี้มาสอบถามพร้อมกัน จำเลยทั้งสองก็แถลงยืนยันว่า นายสมพรมิได้พูดขู่เข็ญให้จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในสัญญายอม (รายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เอกสารในสำนวนอันดับ 88 ) ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย”

พิพากษายืน

Share