คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14811/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีการส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางโดยชอบแล้ว แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกาซึ่งอาจมีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย และจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ แต่ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ได้มีคำพิพากษาแล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับ มีผลเท่ากับศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ดังนั้นการเริ่มต้นบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางยังคงดำเนินต่อไป คำบังคับของศาลแรงงานกลางที่ให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงมีผลใช้บังคับอยู่ ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง จึงไม่จำต้องออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามคำพิพากษาซ้ำอีก เมื่อระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับล่วงพ้นไปแล้ว การที่ศาลแรงงานกลางออกหมายบังคับคดีจึงเป็นไปตามขั้นตอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 แล้ว ไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอนหมายบังคับคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกจ้างของโจทก์และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๕๙,๓๔๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดี ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๕๙,๓๔๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๗) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลแรงงานกลางออกคำบังคับลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามคำพิพากษาแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับเป็นต้นไป ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำบังคับภายในระยะเวลาหรือเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องถูกยึดทรัพย์หรือถูกจับและจำขังดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และส่งคำบังคับให้จำเลยที่ ๑ โดยมีผู้รับไว้แทนเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ส่วนจำเลยที่ ๒ ส่งคำบังคับให้ไม่ได้
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืน ศาลแรงงานกลางได้ออกคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายใน ๑๕ วัน และส่งคำบังคับให้จำเลยที่ ๒ โดยมีผู้รับไว้แทน เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับแล้วจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลแรงงานกลางได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตามคำร้องขอของโจทก์
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ขอให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนหมายบังคับคดี อ้างว่ายังไม่ได้มีการส่งคำบังคับกำหนดระยะเวลาให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาเสียก่อน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า มีการส่งคำบังคับให้จำเลยที่ ๑ โดยชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ทราบคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๒ และมาตรา ๒๗๓ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ กรณีจึงไม่มีเหตุตามคำร้อง ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ว่ามีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า เมื่อมีการส่งคำบังคับให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางโดยชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ แม้ต่อมาจำเลยที่ ๒ จะได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกาซึ่งอาจมีผลถึงจำเลยที่ ๑ ที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย และได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำร้องลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ได้มีคำพิพากษาแล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับดังกล่าว มีผลเท่ากับว่าศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ดังนั้นการเริ่มต้นบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางยังคงดำเนินต่อไป คำบังคับของศาลแรงงานกลางที่ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงมีผลใช้บังคับอยู่ ทั้งต่อมาปรากฏว่าศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางโดยมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จึงไม่จำต้องออกคำบังคับให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำพิพากษาซ้ำอีก เมื่อระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับได้ล่วงพ้นไปแล้ว การที่ศาลแรงงานกลางออกหมายบังคับคดีจึงเป็นการออกหมายบังคับคดีที่เป็นไปตามขั้นตอนดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่นำมาใช้กับคดีแรงงานโดยอนุโลม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ กรณีไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอนหมายบังคับคดี ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share