แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 กับพวกนำข้อความที่ว่าโจทก์สมคบกับประธานสภาจังหวัดชัยภูมิประวิงหรือหลีกเลี่ยง ละเว้น ไม่พิจารณาคำขอเปิดประชุมสภาจังหวัดชัยภูมิสมัยวิสามัญครั้งที่ 1 ประจำปี 2538 ของจำเลยกับพวกซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชัยภูมิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีปฏิบัติราชการไปยื่นฟ้อง และจำเลยกับพวกจัดการโฆษณาเผยแพร่ข้อความตามคำฟ้องในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,83 แต่เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่า ข้อความที่พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนอกจากจะเป็นข้อความตามคำฟ้องของจำเลยที่ 1 กับพวกแล้ว ยังมีข้อความเพิ่มเติมเป็นเบื้องหลังการที่โจทก์ไม่สั่งเปิดประชุมสภาจังหวัดเพราะเกี่ยวข้องกับการทุจริตและการย้ายข้าราชการโดยไม่เป็นธรรม อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ขึ้นใหม่อีกส่วนหนึ่งข้อความหมิ่นประมาทถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานหมิ่นประมาทเมื่อโจทก์มิได้บรรยายไว้ให้ปรากฏในคำฟ้องถือได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิจารณาลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเก้ากับพวกใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 533/2538ของศาลชั้นต้นโดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์สมคบกับประธานสภาจังหวัดชัยภูมิประวิงหรือหลีกเลี่ยงละเว้นไม่พิจารณาคำขอเปิดประชุมสภาจังหวัดชัยภูมิสมัยวิสามัญครั้งที่ 1 ประจำปี 2538 ของจำเลยกับพวกซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชัยภูมิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีปฏิบัติราชการ และจำเลยทั้งเก้ากับพวกจัดการโฆษณาเผยแพร่ข้อความตามคำฟ้องดังกล่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและเดลินิวส์ ฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2538 ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ที่กรุงเทพมหานครและทั่วราชอาณาจักรขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ประทับฟ้องส่วนจำเลยนอกนั้นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 จำคุก 3 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกยื่นฟ้องนายนิพนธ์ ดิษฐจร ประธานสภาจังหวัดชัยภูมิกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 533/2538 ของศาลชั้นต้น โดยบรรยายฟ้องมีใจความว่า นายนิพนธ์กับโจทก์ร่วมกันประวิง หลีกเลี่ยง ละเว้นไม่พิจารณาคำขอเปิดประชุมสภาจังหวัดชัยภูมิสมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2538 ของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชัยภูมิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีปฏิบัติราชการขอให้ศาลมีคำสั่งให้เปิดประชุมสภาจังหวัด หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไปแจ้งข่าวการยื่นฟ้องคดีดังกล่าวแก่หนังสือพิมพ์ ต่อมาหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2538 ได้ลงเผยแพร่ข่าวดังกล่าวโดยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ลงข้อความมีเนื้อหาตรงตามข้อความที่จำเลยที่ 1 กับพวกบรรยายฟ้องไว้ส่วนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนอกจากจะลงข้อความตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกบรรยายฟ้องไว้แล้ว ในเนื้อข่าวย่อหน้าแรกบรรทัดสุดท้ายมีข้อความว่า “แฉเบื้องหลังอุบเงียบไม่เปิดประชุม หวั่นถูกซักฟอกทุจริตมโหฬาร” กับย่อหน้าสุดท้ายมีข้อความว่า “ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า เบื้องหลังการไม่เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญของจังหวัดชัยภูมิปรากฏว่าประชาชนในจังหวัดต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า อาจจะมีการซักฟอกถึงการทุจริตในการประมูลรับเหมากันอย่างมโหฬาร วงเงิน 40 ล้านบาท และยังมีการย้ายข้าราชการที่ขวางทางอีกหลายคน” ซึ่งเป็นข้อความที่เพิ่มเติมขึ้นนี้มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์
มีปัญหาที่สมควรต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 เสียก่อนว่าข้อความที่เพิ่มเติมขึ้นมาในข่าวของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอันมีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ศาลจะรับฟังมาลงโทษจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 กับพวกนำข้อความที่ว่าโจทก์สมคบกับประธานสภาจังหวัดชัยภูมิประวิงหรือหลีกเลี่ยง ละเว้นไม่พิจารณาคำขอเปิดประชุมสภาจังหวัดชัยภูมิสมัยวิสามัญครั้งที่ 1 ประจำปี 2538 ของจำเลยกับพวกซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชัยภูมิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและประเพณีปฏิบัติราชการไปยื่นฟ้อง และจำเลยกับพวกจัดการโฆษณาเผยแพร่ข้อความตามคำฟ้องในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83 แต่เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่าข้อความที่พิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนอกจากจะเป็นข้อความตามคำฟ้องของจำเลยที่ 1 กับพวกแล้ว ยังมีข้อความเพิ่มเติมเป็นเบื้องหลังการที่โจทก์ไม่สั่งเปิดประชุมสภาจังหวัดเพราะเกี่ยวข้องกับการทุจริตและการย้ายข้าราชการโดยไม่เป็นธรรมอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ขึ้นใหม่อีกส่วนหนึ่ง ข้อความหมิ่นประมาทถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อโจทก์มิได้บรรยายไว้ให้ปรากฏในคำฟ้องถือได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิจารณาลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่มีข้อความเพิ่มเติมอันเป็นการหมิ่นประมาทอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน