แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากจำเลยทั้งสอง แต่ความจริงหนี้สินดังกล่าวได้ระงับไปแล้วตามเหตุผลในรายละเอียดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ชอบที่จะหยิบยกเป็นข้อต่อสู้หากจะถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีขึ้นในอนาคต มิใช่ด่วนมายื่นฟ้องจำเลยต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้มีหนี้สินใด ๆ ต่อกัน กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 อันจะถือว่าถูกโต้แย้งสิทธิหรือจำเป็นต้องใช้สิทธิในทางศาล
ส่วนข้อที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเอกสาร น.ส.3 ก. นั้น โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องว่า จำเลยได้ ยึด น.ส.3 ก. ของโจทก์ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาโจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้คืน น.ส.3 ก. ให้แก่โจทก์ ดังนี้เป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามเอา น.ส.3 ก. ของโจทก์คืน โดยอ้างว่าโจทก์ได้ชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจยึด น.ส.3 ก. ของโจทก์ไว้ต่อไป ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยทำสัญญากู้เงินจากจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองได้ยึด น.ส.๓ ก. ของโจทก์ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาโจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้คืน น.ส.๓ ก. ให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองไม่มีหนี้สินใด ๆ ต่อกัน และให้จำเลยคืนสัญญากู้เงินที่โจทก์ให้ไว้พร้อม น.ส.๓ ก. ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้ดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความตามฟ้องของโจทก์ว่า มูลเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้เป็นเพราะโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามจากทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งสองให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลย ซึ่งโจทก์อ้างว่าความจริงแล้วขณะนี้โจทก์และจำเลยมิได้มีหนี้สินใดต่อกัน จึงฟ้องเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาดังกล่าวสำหรับปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากจำเลยทั้งสอง หากความจริงหนี้สินดังกล่าวได้ระงับไปแล้วตามเหตุผลในรายละเอียดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ชอบที่จะหยิบยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หากจะถูกจำเลยฟ้องเป็นคดีขึ้นในอนาคต มิใช่ด่วนมายื่นฟ้องจำเลยต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้มีหนี้สินใด ๆ ต่อกัน กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ อันจะถือว่าเป็นเรื่องถูกโต้แย้งสิทธิหรือจำเป็นต้องใช้สิทธิในทางศาลแต่ประการใด ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยคืนเอกสาร น.ส.๓ ก. เลขที่ ๑๕๑๐ นั้น โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องว่า จำเลยได้ยึด น.ส.๓ ก. ของโจทก์ไว้เป็นหลักฐานประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาโจทก์ได้ชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้คืน น.ส.๓ ก. ให้แก่โจทก์ ดังนี้ เห็นว่าเป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามเอา น.ส.๓ ก. ของโจทก์คืน โดยอ้างว่าโจทก์ได้ชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจยึด น.ส.๓ ก. ของโจทก์ไว้ต่อไป ถือไม่ได้ว่าข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๕ แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเฉพาะในข้อนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน