คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1475/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าช่วงเช่าห้องพิพาทจากผู้เช่าเดิมโดยมีสัญญาเช่าต่อกัน ต่อมาผู้เช่าเดิมโอนสิทธิการเช่าตามสัญญานั้นให้แก่โจทก์ โดยเจ้าของห้องพิพาทยินยอมด้วย ดังนี้ โจทก์ย่อมเข้าสวนสิทธิเป็นผู้ให้เช่าแทนผู้เช่าเดิม ส่วนผู้เช่าช่วงก็ยังคงผูกพันเป็นผู้เช่าและมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญาเช่านั้นให้แก่โจทก์ เมื่อผู้เช่าช่วงไม่ชำระค่าเช่าให้โจกท์ โจทก์ย่อมอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่านั้น ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาทได้ โดยไม่จำต้องเรียกเจ้าของห้องพิพาทเข้ามาเป็นโจกท์ร่วมด้วย

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางอำนวย เจ้าของที่ดินได้ให้นายจง แซ่ฉั่น ปลูกตึกแถวสองชั้น ๑ หลังในที่ดิน หมายเลขทะเบียน ๗๕/๒,๓,๔,๕,๖,๗ เมื่อปลูกแล้วอาคารนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางอำนวย และนางอำนวยให้นายจง แซ่ฉั่น เช่าอาคารนี้มีกำหนด ๑๕ ปี นายจงได้ใช้ชั้นบนของอาคารนี้และชั้นล่างด้านหลังทำเป็นโรงแรมใช้ชื่อว่าโรงแรมแสนสำราญเฉพาะโรงแรมแสนสำราญหมายเลขทะเบียนที่ ๗๕/๒ และ ๗ ส่วนห้องชั้นล่างด้านหน้าของโรงแรมนี้อีก ๔ ห้อง ซึ่งมีเลขทะเบียน ๗๕/๓,๔,๕,๖ นายจงให้นายเซ่งและจำเลยเช่าช่วง ทำการค้า คือนายเซ่ง เช่าห้องหมายเลขที่ ๗๕/๔,๕,๖ รวม ๓ ห้อง ซึ่งเป็นห้องพิพาทในคดีนี้ นายจงดำเนินกิจการโรงแรมอยู่ได้ ๓ ปี เศษ ก็โอนสิทธิการเช่าทั้งหมดให้โจทก์ โดยโจทก์ให้เงินนายจง ๔๑๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาซื้อและโอนกรรมสิทธิ์กิจการโรงแรมระหว่างโจทก์กับนายจง ลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๒ (เอกสาร จ.๑) ตามข้อ ๖ แห่งสัญญานี้ มีข้อความว่า ห้องเช่าเลขที่ ๗๕/๓,๔,๕,๖ ซึ่งนายจงให้นายเซ่ง แซ่ตั้งและจำเลยเช่าอยู่ก่อนวันทำสัญญา โจทก์ยินยอมให้เช่าต่อไปตามสัญญาซึ่งนายจงทำไว้กับจำเลยและนายเซ่ง นายอำนวยเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารยินยอมให้โจกท์และนายจงโอนสิทธิการเช่าได้ และนางอำนายได้ให้โจทก์ทำสัญญาเช่าอาคารหลังนี้มีกำหนด ๑๑ ปี นับแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ (เอกสาร จ.๒ จ.๓) หลังจากโจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าจากนายจงแล้ว โจทก์ได้เข้าดำเนินกิจการโรงแรมแสนสำราญต่อมา และได้เรียกเก็บค่าเช่าจากจำเลยและนายเซ่งตามสัญญาเช่าที่จำเลยกับนายเซ่งทำไว้กับนายจง นายเซ่งยอมชำระค่าเช่าให้โจทก์ ส่วนจำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่าให้โจทก์เลย โจทก์จึงบอกกล่าวเลิกการเช่ากับจำเลย ขอให้จำเลยออกจากห้องพิพาท ได้ส่งหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลย ๒ ครั้ง จำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท
ปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยออกจากห้องพิพาทหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากนายจงตามสัญญาหมาย ล.๑ ก็ดี แต่ต่อมานายจงผู้ให้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ตามสัญญาโอนสิทธิหมาย จ.๑ และโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไปตามสัญญาเช่า ล.๑ ที่จำเลยทำไว้กับนายจง โจทก์จำเลยจึงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาเช่า ล.๑ โดยโจทก์เข้าสรวมสิทธิเป็นผู้ให้เช่าแทนนายจง ส่วนจำเลยก็ยังคงผูกพันเป็นผู้เช่าและมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้โจกท์ตามสัญญาเช่า ล.๑ ข้อ ๓ เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่าให้โจกท์ โจกท์มีสิทธิบอกเลิกการเช่ากับจำเลยได้ตามสัญญาเช่าข้อ ๑๓ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยขอให้จำเลยออกจากห้องพิพาทถึง ๒ ครั้ง จำเลยไม่ยอมออก โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยฐานผิดสัญญาเช่า หมาย ล.๑ ที่จำเลยทำไว้กับนายจง ฯลฯ แม้โจทก์จะไม่เรียกนางอำนวยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายืน

Share