คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1474/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำเลยที่ 2 อันไม่เป็นความจริงย่อมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้รับสมอ้างเป็นเจ้าหนี้ ถือว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ในการพิจารณาคำขอเฉลี่ยทรัพย์ จำเลยทั้งสองเบิกความว่ามีหนี้สินต่อกัน อันเป็นความเท็จ จึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จและจำเลยที่ 2 ผู้อ้างอิงสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน มีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จอีกด้วย
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเจตนาจะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ได้สมคบกันทำสัญญากู้ว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินไปจากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมใช้เงินตามฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมจำเลยที่ ๒ ได้เอาหนี้ตามคำพิพากษาที่เกิดจากการสมยอมนี้มาขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ อยู่ตามคำพิพากษา ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนจำเลยที่ ๒ ได้อ้างสัญญากู้ดังกล่าวเป็นพยาน และจำเลยทั้งสองได้สาบานตนเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีว่าจำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินจำเลยที่ ๒ ไปขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๐, ๑๗๗, ๑๘๐, ๓๕๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ และว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้โดยสมยอมพิพากษากลับเป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๘๓ กระทงหนึ่งฐานเบิกความเท็จตามมาตรา ๑๗๗ วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง และจำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามมาตรา ๑๘๐ วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งด้วย ให้จำคุกกระทงละ ๑ เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ ได้นำยึดสวนยางพาราของจำเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดระหว่างที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดจำเลยที่ ๒ ฟ้องเรียกเงินกู้และดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญากู้ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คบคิดกันทำขึ้น โดยที่มิได้มีหนี้สินต่อกัน จำเลยที่ ๑ได้ประนีประนอมยอมความใช้เงินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ ๒ ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยที่ ๒ จึงร้องขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ ๑ โจทก์คัดค้านว่าเป็นหนี้สมยอม ในชั้นไต่สวนจำเลยทั้งสองได้สาบานตัวเบิกความเป็นพยานว่าเป็นหนี้กันตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้องในคดีก่อนจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำเลยที่ ๒ อันไม่เป็นความจริง จำเลยที่ ๑ ย่อมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ส่วนจำเลยที่ ๒ ผู้รับสมอ้างเป็นเจ้าหนี้ถือได้ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการเช่นเดียวกัน ในการพิจารณาคำขอเฉลี่ยทรัพย์ จำเลยทั้งสองเบิกความเท็จว่าเป็นหนี้สินต่อกัน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรคแรกและจำเลยที่ ๒ ผู้อ้างอิงสัญญากู้เป็นพยานหลักฐานยังมีความผิดตามมาตรา ๑๘๐ วรรคแรกอีกด้วย โจทก์เป็นผู้เสียหายจึงฟ้องคดีนี้ได้
พิพากษายืน

Share