แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ในลำรางสาธารณะเรือเดินได้นั้น ย่อมเป็นทางน้ำอันราษฎรใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แม้ผู้ใดจะเคยเข้าไปทำนาในลำรางนั้นมาก่อน ผู้นั้นก็หามีสิทธิครอบครองอันชอบด้วยกฎหมายไม่ จะขอให้ศาลแสดงว่าที่นั้นเป็นของผู้นั้นไม่ได้ และเมื่อมีราษฎรอื่นมาทำนาในที่นั้นบ้าง ผู้ที่เคยทำนาอยู่ก่อนจะหาว่าผู้เข้าทำใหม่ละเมิดก็ไม่ได้ เพราะผู้เข้าทำใหม่หาได้ทำละเมิดต่อข้าวที่คนเดิมทำไว้ก่อนแล้วไม่ และเมื่อปรากฏว่าผู้เข้าทำใหม่มีที่นามีโฉนดอยู่ติดต่อกับที่สาธารณะนี้ ส่วนผู้เคยทำคนเดิมหามีนาอยู่แถวนั้นไม่ ดังนี้ ผู้เคยทำนามาเดิมย่อมไม่มีสิทธิอะไรจะมาฟ้องขับไล่ ผู้เข้าทำใหม่นั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทมา 10 ปีแล้ว จำเลยบุกรุกเข้ามาไถหว่านข้าว ฯลฯ จึงขอให้ขับไล่ ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประโยชน์ จำเลยครอบครองมา 20 ปีแล้ว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าที่พิพาทตอนในลำรางลูกบัวเป็นที่ในสิทธิครอบครองของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ฯลฯ
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อที่พิพาทเป็นที่ในลำรางสาธารณะ เรือเดินได้ก็เป็นทางน้ำอันราษฎรใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินแม้โจทก์จะเคยเข้าไปทำนาในลำรางมาก่อน โจทก์ก็หามีสิทธิครอบครองอันชอบด้วยกฎหมายไม่ จะขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ได้และปรากฏว่าที่ในลำรางทั้งด้านเหนือและด้านตะวันออกที่โจทก์เข้าทำนานี้อยู่ติดต่อกับที่นาของจำเลยที่มีโฉนดแล้ว ส่วนโจทก์เองหาได้มีนาอยู่แถวนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอะไรจะฟ้องขับไล่จำเลยได้ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายว่าจำเลยเข้ามาไถหว่านข้าวลงในที่โจทก์ ก็หาใช่ว่าจำเลยทำละเมิดต่อข้าวที่โจทก์ทำไว้ก่อนแล้วไม่โจทก์จึงไม่มีอะไรจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ฉะนั้นจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง