คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14736/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ทรัพย์สินใดจะเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งมวลประกอบกัน ลำพังการลงลายมือชื่อรับรองต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเงินทั้งหมดที่ซื้อเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งเป็นคนไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นเพียงหลักฐานเบื้องต้นเท่านั้น แต่เมื่อพยานหลักฐานทั้งหมดรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยร่วมกัน
การแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมหรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินพิพาทแก่โจทก์ก่อน หากไม่ชำระเงินจึงยึดที่ดินมาขายทอดตลาดนำเงินที่ได้จากการขายมาแบ่งกัน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 67316 ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 68/2 ออกขายตามประมวลกฎหมายที่ดินภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และนำเงินที่ได้จากการขายคืนแก่โจทก์หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 250,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 67316 ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขาย จำนวน 250,000 บาท ชำระคืนแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษ จดทะเบียนสมรสกับจำเลยในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ระหว่างสมรสโจทก์นำเงินรายได้ของโจทก์ซึ่งเป็นสินสมรสไปซื้อที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 67316 ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 68/2 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2549 ตามสำเนาหนังสือขายที่ดิน ต่อมาโจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ศาลแห่งประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (ศาลประจำจังหวัดเมดสโตน) พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกันเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551 ตามสำเนาคำพิพากษาและคำแปล ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกานั้น เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อนว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 68/2 เป็นสินส่วนตัวของจำเลยโดยโจทก์มีเจตนาซื้อเพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพียงผู้เดียวหรือไม่ ซึ่งในข้อนี้ได้ความจากโจทก์เบิกความว่า โจทก์ไม่มีเจตนายกที่ดินพิพาทให้เป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว โจทก์มีเจตนาจะให้เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างโจทก์และจำเลย โดยโจทก์มีความประสงค์ที่จะมาอยู่ในประเทศไทยหลังจากเกษียณอายุแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับที่ได้ความจากพยานจำเลยปากนายชานนท์ ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยว่า วันที่ทำนิติกรรมจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่จำเลย โจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินด้วย โจทก์ได้ถามนายชานนท์โดยจำเลยเป็นผู้แปลข้อความที่โจทก์พูดให้เป็นภาษาไทยให้นายชานนท์ฟังว่า เมื่อโจทก์ออกเงินซื้อที่ดินแล้วโจทก์จะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือไม่ นายชานนท์จึงตอบโจทก์ว่าต้องไปถามเจ้าพนักงานที่ดิน แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้อยู่ร่วมกับจำเลยภายหลังโจทก์เกษียณอายุ การที่โจทก์ถามนายชานนท์ว่าโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ จึงมิใช่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเพื่อยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งมีมารดาของจำเลยเบิกความโดยรับฟังข้อความมาจากจำเลยอันเป็นพยานบอกเล่ามานั้น จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาอ้างทำนองว่า โจทก์ลงลายมือชื่อยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือรับรองต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามระเบียบของสำนักงานที่ดินว่าเงินทั้งหมดที่ซื้อเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งเป็นคนไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว จึงมิใช่สินสมรสนั้น เห็นว่า การที่ทรัพย์สินใดจะเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งมวลประกอบกัน ลำพังการลงลายมือชื่อรับรองต่อเจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานเบื้องต้นเท่านั้น แต่เมื่อพยานหลักฐานทั้งหมดรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ที่ดินและบ้านพิพาทจึงตกเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยร่วมกัน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 250,000 บาท หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขาย จำนวน 250,000 บาท ชำระคืนแก่โจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีรับฟังได้ว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลย โจทก์และจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์สินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง ซึ่งในการแบ่งทรัพย์สินเช่นว่านี้พึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมหรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกัน ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ก่อน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 67316 ตำบลแสนสุข อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมบ้านเลขที่ 68/2 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์จำเลยแบ่งทรัพย์สินกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1364 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งโจทก์และจำเลยให้เป็นพับ

Share