คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นผู้มีหน้าที่รักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีสิทธิและหน้าที่อย่างเดียวกัน ตามกฎหมายในเรื่องที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอไม่มีฐานะต่างกัน
เดิม ศาลพิพากษาในคดีแดงที่ 15/2495 ซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ให้ยกฟ้องในคดีนั้น ที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีแดงที่ 15/2495 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้โจทก์ในคดีนี้จะเป็นจำเลยในคดีแดงที่ 15/2495 และศาลมิได้ชี้ขาดในคดีแดงที่ 15/2495 โดยตรงว่า ที่พิพาทในคดีนั้นเป็นของจำเลยในคดีนั้น ( คือ โจทก์ในคดีนี้ ) แต่ผลของคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่าโจทก์ในคดีนั้นไม่มีพยานหลักฐานพอฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ผูกพันโจทก์คดีนี้และผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยคดีนี้ มิได้รื้อฟ้องพิพาทกันในคดีนี้อีกว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องมีข้อความทำนองเดียวกันว่า จำเลยแต่ละคนได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์คนละแปลง ๆ ละ ๑๔๐ ตารางเมตร กำหนดเวลาเช่า ๑๐ ปี ค่าเช่าชำระล่วงหน้าปีละ ๗๒๐ บาท จำเลยไม่ชำระงวดที่ ๒ โจทก์บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และชำระค่าเช่าที่ดิน ๗๒๐ บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ความจริงที่ที่จำเลยเช่าเป็นที่ส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณะแปลงที่ ๒๙ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีในฐานะผู้ดูแลสถานที่สาธรณะเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ผู้ว่าราชการจังหวัด ฯ ให้การว่า ที่พิพาทคดีทั้งสองแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามทะเบียนลำดับที่ ๒๙ โจทก์บุกรุกเข้าก่อสร้างที่สาธารณะ นายอำเภอวารินชำราบ ฟ้องขับไล่ตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ของศาลชั้นต้น ฯลฯ
ต่อมาโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่พิพาทในคดีแพ่งแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาว่า ศาลฎีกาพิพากษาว่าคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ของศาลชั้นต้นซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ยืนตามศาลล่างที่ให้ยกฟ้องโจทก์ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘/๒๕๐๑ คำพิพากษานี้วินิจฉัยกรรมสิทธิแห่งทรัพย์สินที่พิพาทเป็นคุณแก่โจทก์ จึงใช้ยันบุคคลภายนอกคือจำเลยได้ เว้นแต่จำเลยจะพิสูจน์ ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า จำเลยอ้างสิทธิของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยซึ่งอยู่ในฐานะเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบโจทก์ในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ มิได้อ้างว่าจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ อย่างใด พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร ฯลฯ
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยอุธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานในประเด็นที่พิพาทแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นายแหลมนางคำมั่นจำเลยเดิมอ้างสิทธิของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยว่า อนุญาติให้ตนอาศัยอยู่ในที่พิพาท ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเข้ามาในคดีโดยถูกหมายเรียกตามคำสั่งของศาล โดยคำร้องของจำเลยเดิม มีฐานะเป็นคู่ความในคดีฝ่ายหนึ่ง และต่อสู้คดีในฐานะผู้รักษาที่สาธารณสมบัติ ฯ มีสิทธิและหน้าที่อันเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ตามกฎหมายในเรื่องที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เพียงแต่เป็นผู้มีหน้าที่ในระดับต่างกัน มิได้ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยมีฐานะแตกต่างไปจากโจทก์ในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ คู่ความแถลงรับกันในคดีนี้ว่าที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแปลงที่ ๒๙ เป็นที่แปลงใหญ่ตามแผนที่วิวาทในคดีแพ่งแดงที่ ๑๒๗/๒๕๐๔ ของศาลชั้นต้น โจทก์เคยพิพาทกับนายอำเภอวารินชำราบมาแล้วในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่พิพาทในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษามาถึงที่สุดแล้ว คู่ความรับกัน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยจะอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินแปลงที่ ๒๙ ฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจำเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนายอำเภอวารินชำราบโจทก์ในคดีแดงที่ ๑๕/๒๔๙๕ แม้โจทก์ในคดีนี้จะเป็นจำเลยในคดีเดิม ซึ่งนายอำเภอวารินชำราบเป็นโจทก์ และศาลมิได้ชี้ขาดในคดีเดิมโดยตรงว่าที่พิพาทในคดีนั้นเป็นของจำเลยในคดีนั้น ( คือ โจทก์ในคดีนี้ ) แต่ผลของคำพิพากษาวินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีนั้นไม่มีพยานหลักฐานพอฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ก็ผูกพันคู่ความมิให้รื้อร้องฟ้องพิพาทกันในคดีนี้อีกว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๘
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ.

Share