คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วแต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมิได้แจ้งยืนยันหนี้จำนวนดังกล่าวมายังผู้ร้อง ผู้ร้องหามีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลไม่ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาข้ามขั้นตอนของกฎหมายซึ่งต้องการให้หนี้สินดังกล่าวได้รับการสอบสวนในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เป็นการแน่นอนเสียชั้นหนึ่งก่อนที่จะนำคดีมาสู่ศาล.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2529 ผู้ร้องได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อวันที่ 11มิถุนายน 2529 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการสอบสวนผู้ร้องแล้ว ไม่มีคำสั่งหรือมีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530 ผู้ร้องได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวน1,564,698.67 บาท ผู้ร้องเห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้สิทธิตามกฎหมายซ้ำซ้อนกล่าวคือ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ในมูลหนี้เดียวกัน ขอให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าขาดประโยชน์ฐานผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของนายโพธิ์แสนคำ จำนวน 1,564,698.67 บาทอีกนั้นไม่เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525ถึงวันที่ 8 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่นางมณี แสนคำ ภรรยาผู้เช่าซื้อนำรถยนต์มามอบให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ รวมเป็นจำนวน 55 งวด 28 วัน บริษัทลูกหนี้ขาดประโยชน์จำนวน1,544,298.67 บาท เมื่อหักราคาเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อชำระบางส่วนในงวดที่ 4 จำนวน 17,240 บาท คงเหลือค่าขาดประโยชน์1,527,058.67 บาท กับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจำนวน 255,640 บาทหักค่ารถยนต์ที่ขายทอดตลาดได้ 218,000 บาท เหลือค่าเช่าซื้อที่ค้าง 37,640 บาท รวมเป็นค่าขาดประโยชน์ที่ผู้เช่าซื้อและผู้ร้องต้องชำระเพิ่มทั้งสิ้น 1,564,698.67 บาท ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องปฏิเสธหนี้ดังกล่าวแล้ว และอยู่ในระหว่างสอบสวนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่ได้แจ้งยืนยันหนี้ดังกล่าวไปยังผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119ฆวรรคสอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘การปฏิบัติของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวจะชอบด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 119 ดังที่ผู้ร้องฎีกาโต้แย้งหรือไม่นั้น ยังหาได้เป็นประเด็นที่ศาลจะรับไว้วินิจฉัยในชั้นนี้ไม่ เพราะการที่ผู้ร้องได้ปฏิเสธหนี้ไปทั้งสองครั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมิได้แจ้งยืนยันหนี้มา ผู้ร้องจึงหามีสิทธิที่จะด่วนมายื่นคำร้องคัดค้านต่อศาล อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาข้ามขั้นตอนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่เพราะเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้หนี้สินดังกล่าวได้รับการสอบสวนในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้เป็นการแน่นอนเสียชั้นหนึ่งก่อนที่จะนำคดีมาสู่ศาล ดังนั้น ตราบใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมิได้ยืนยันหนี้จำนวนดังกล่าวมายังผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องก็ยังหามีสิทธิที่จะมายื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลไม่ คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share