คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานที่จำเลยจะขอสืบในชั้นฎีกาเป็นพยานที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้รู้เห็น อาจนำมาสืบได้แต่ตอนต้นเมื่อไม่นำมาสืบในตอนนั้นนับได้ว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ถ้าให้จำเลยนำสืบได้ก็จะไม่เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความอีกฝ่าย จึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยนำสืบอีกต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 188,968 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 150,000 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายบ้านพร้อมสิทธิการเช่าที่ดินแก่โจทก์ จำเลยถูกร้อยตำรวจตรีลิขิต ภาตนันท์ร่วมกับโจทก์ทำการข่มขู่ให้จำเลยลงชื่อในช่องคู่กรณียอมคืนเงินมัดจำ150,000 บาท ให้แก่โจทก์ สัญญายอมความตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 150,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน2528 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องมิให้คิดเกินกว่า 38,968 บาท ตามที่โจทก์ขอมา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาจะขายบ้านพร้อมสิทธิการเช่าให้โจทก์ หลังจากทำสัญญากันแล้วต่อมาโจทก์กับจำเลยได้ไปให้เจ้าพนักงานตำรวจทำบันทึกไว้ว่าได้มีการเลิกสัญญากันแล้วและขอชำระเงินจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนให้โจทก์และวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ยังมีพยานที่รู้เห็นในขณะทำสัญญาแต่ทนายจำเลยไม่เสนอพยานหลักฐาน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลฎีกาสืบพยานนั้นว่า พยานที่จำเลยจะขอสืบในชั้นฎีกาเป็นพยานที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้รู้เห็น อาจนำมาสืบได้แต่ตอนต้นเมื่อไม่นำมาสืบในตอนนั้นนับได้ว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ถ้าให้จำเลยนำสืบได้ก็จะไม่เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความอีกฝ่าย จึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยนำสืบอีกต่อไป
พิพากษายืน

Share