แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเดิมจำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้าไปเป็นคู่ความในฐานะผู้จัดการมรดกของ ฮ. เป็นการกระทำในฐานะตัวแทน ฮ. คดีนี้โจทก์ฟ้องในฐานะทายาทของ ฮ. จึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีเดิมที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ซึ่งคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีเดิมย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น การที่โจทก์มาฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์และโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ 1 งาน 28 ตารางวา จากชื่อจำเลยมาเป็นชื่อโจทก์ตามเดิม หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า จำเลยเคยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2550 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย จึงมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์เสียเกินมาเป็นเงิน 9,400 บาท แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมที่จำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2540 หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องในฐานะทายาทของนายฮี้ ส่วนคดีเดิมโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเข้าไปเป็นคู่ความในฐานะผู้จัดการมรดกของนายฮี้ ก็เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของทายาทนายฮี้ จึงถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีเดิมที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีเดิมย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น การที่โจทก์มาฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์และโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.