คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ท. ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ แล้วกลับนำไปโอนขายให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ ท. แต่ผู้เดียวเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่าง ท. กับจำเลยให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ ท. ทำไว้กับโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่พิพาทและจดทะเบียนรับโอนมาโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้องผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าที่พิพาทนี้ท. ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องสอดและสัญญาที่ท. โอนขายให้จำเลยนั้นทำโดยสมยอม ไม่มีเจตนาจะซื้อขายกันจริงเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาที่ ท. ทำไว้กับโจทก์เท่านั้นจึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีแทนที่จำเลยในฐานะที่เป็นผู้รับมรดกศาลชั้นต้นสอบถามแล้วผู้ร้องสอดแถลงว่าผู้ร้องสอดได้ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยกับ ท. ทำนองเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยดังนี้ เท่ากับผู้ร้องสอดอ้างว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในที่พิพาทแต่อย่างใดเลยผู้ร้องสอดเท่านั้นที่มีส่วนได้เสียโดยพินัยกรรมส่วนได้เสียของผู้ร้องสอดและของจำเลยจึงมิได้ร่วมกันหรือแทนที่กันซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ศาลจึงชอบที่จะสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาดำเนินคดีแทนที่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางทุย เป๋าอยู่ ทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนของนางทุยแก่โจทก์ในราคา 200,000 บาท นางทุยรับเงินไปแล้วบางส่วนเป็นเงิน 15,000 บาท เงินที่เหลือตกลงกันว่าจะชำระเมื่อนางทุยแบ่งแยกโฉนดเสร็จ แล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต่อมาปรากฎว่าเมื่อนางทุยแบ่งแยกโฉนดแล้ว กลับนำไปขายแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางทุยแต่ผู้เดียว และโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปแล้ว ทั้งนี้โดยนางทุยและจำเลยรู้ถึงการที่โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว แล้วสมคบกันแสดงเจตนาลวงเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างนางทุยกับจำเลย ให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่นางทุยทำไว้กับโจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นายจำลอง เป๋าอยู่ ใช้อุบายเอาตัวนางทุยไปอยู่ด้วย และในระหว่างไปอยู่กับนายจำลอง นายจำลองหลอกลวงให้นางทุยพิมพ์นิ้วมือในเอกสารใบรับเงิน ในสัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นลายพิมพ์นิ้วมือปลอม จำเลยซื้อที่พิพาทจากนางทุยโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างสืบพยานโจทก์ นายจำลอง เป๋าอยู่ ยื่นคำร้องต่อศาลว่า ที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยนั้น นางทุยทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้อง อนึ่ง สัญญาที่นางทุยโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยนั้น ทำโดยสมยอมกัน ไม่มีเจตนาจะซื้อขายกันจริง เจตนาเพื่อเลี่ยงการบังคับตามสัญญาที่นางทุยทำไว้กับโจทก์เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ในฐานะผู้รับพินัยกรรมของนางทุย จึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีแทนที่จำเลยเฉพาะในฐานะที่เป็นผู้รับมรดก

ศาลชั้นต้นสอบถามผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดแถลงรับว่า ผู้ร้องสอดได้ฟ้องจำเลยนี้เป็นอีกคนหนึ่ง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยกับนางทุยทำนองเดียวกับโจทก์ฟ้องจำเลย โดยอ้างว่านางทุยเจตนาจะหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อที่นางทุยทำไว้กับโจทก์ นางทุยจึงสมคบกับจำเลยโดยนางทุยทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่จำเลย โดยไม่มีเจตนาจะซื้อขายกันจริง ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายที่นางทุยไว้กับโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่ผู้ร้องสอดฟ้องจำเลย เป็นการใช้สิทธิที่ขัดกับจำเลย ซึ่งจำเลยคัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าดำเนินคดีแทนที่จำเลย ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอด

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องสอดอ้างมาในคำร้องก็ดีตามที่ศาลชั้นต้นสอบถามได้ความก็ดี เท่ากับอ้างว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในที่พิพาทแต่อย่างใดเลย ผู้ร้องสอดเท่านั้นที่มีส่วนได้เสียโดยพินัยกรรม เห็นได้ว่าส่วนได้เสียของผู้ร้องสอดและจำเลยมิได้ร่วมกันหรือแทนที่กัน ซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) จึงชอบที่จะยกคำร้องเสีย

พิพากษายืน

Share