คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1469/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตึกแถวพิพาทมีมาแต่เดิมแล้ว โจทก์ได้ทำสัญญาให้ อ. เช่าตึกแถวพิพาทดังกล่าวพร้อมที่ดิน อ. ไม่ได้ช่วยค่าก่อสร้างให้โจทก์ ดังนี้ แม้ อ. ได้จ่ายเงินให้ ส. ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขายตึกแถวพิพาทและสิทธิการเช่าที่ดินให้แก่ อ. เป็นเงินจำนวน 1,400,000 บาทก็ดี หรือ บ. ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจาก ส. และ ส. จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้ บ. ก็ดี ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงเงินที่จ่ายให้แก่กันเพื่อรับโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทจากบุคคลที่มีสิทธิก่อนตน คือจาก ส. มาเป็น อ. หรือจาก บ. มาเป็น ส. เท่านั้น หาใช่เงินค่าก่อสร้างไม่ และไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับ อ. มีลักษณะตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าทรัพย์ธรรมดาแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและพาบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 3567/10 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และออกไปจากที่ดินว่างลึก 2.40 เมตร หลังตึกแถวดังกล่าว โดยให้จำเลยส่งมอบตึกแถวดังกล่าวพร้อมที่ดินคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 680,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยชำระค่าเสียหายรายเดือนในอัตราเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพาบริวารออกไปจากห้องแถวและที่ดินพร้อมทั้งส่งมอบตึกแถวที่ดินให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ 3567/10 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และออกไปจากที่ดินว่างลึก 2.40 เมตร หลังตึกแถวดังกล่าว และส่งมอบตึกแถวพร้อมที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 26,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวและที่ดินพร้อมทั้งส่งมอบให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 450 บาท แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ทำสัญญาให้นางเอี่ยมใช้เช่าตึกแถวพิพาทรวมตลอดถึงที่ดินว่างเปล่าด้านหลังลึกประมาณ 2.40 เมตร มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน 28 วัน นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2534 นางเอี่ยมใช้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2539 ปรากฏตามสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้น เรื่องขอจัดการมรดก จำเลยเป็นบุตรของนางเอี่ยมใช้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า สัญญาระหว่างโจทก์และนางเอี่ยมใช้เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าหรือไม่ เห็นว่า หนังสือสัญญาเช่าตึกแถวและสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาเช่าตึกนั้น มีลักษณะเป็นเพียงสัญญาเช่าธรรมดา หาได้เป็นสัญญาที่มีลักษณะตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ เพราะตึกแถวพิพาทมีมาแต่เดิมแล้ว นางเอี่ยมใช้ไม่ได้ช่วยค่าก่อสร้างให้โจทก์ ซึ่งถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงดังที่จำเลยให้การว่า นางเอี่ยมใช้ได้จ่ายเงินให้นางสมจิตต์ เป็นเงินจำนวน 1,400,000 บาท ก็ดี หรือที่จำเลยฎีกาในทำนองว่า นายบุญธรรมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เรียกเก็บเงินค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจากผู้เช่า นางสมจิตต์จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้ผู้รับเหมาก่อสร้างก็ดี ก็ถือได้เป็นเพียงเงินที่จ่ายให้แก่กันเพื่อรับโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทจากบุคคลที่มีสิทธิก่อนตน คือ จากนางสมจิตต์มาเป็นนางเอี่ยมใช้ หรือจากผู้รับเหมาก่อสร้างมาเป็นนางสมจิตต์เท่านั้น หาใช่เงินค่าก่อสร้างดังที่จำเลยฎีกาไม่ และไม่ทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนางเอี่ยมใช้มีลักษณะตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าทรัพย์ธรรมดาแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share