คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหลายที่อยู่ในสำนวน มิใช่พิจารณาจากพยานหลักฐานชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น คดีนี้คณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาพยานหลักฐานของคู่พิพาททั้งสองฝ่าย ทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริง คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการย่อมชอบด้วยกฎหมาย คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการขัดแย้งต่อพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ให้ผู้คัดค้านขอเพิกถอนหรือไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าบริการตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ 4,208,541.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,748,000 บาท นับถัดจากวันที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาด (มีคำชี้ขาดวันที่ 23 สิงหาคม 2556) จนถึงวันที่ยื่นคำร้อง (วันที่ 13 มกราคม 2558) เป็นเงิน 391,229.59 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 4,599,771.50 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,748,000 บาท นับถัดจากวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องจนกว่าผู้คัดค้านจะชำระเสร็จสิ้น
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแพ่งพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการหมายเลขดำที่ 92/2551 หมายเลขแดงที่ 68/2556 ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นนิติบุคคล มีรายชื่อกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญบริษัทเพื่อกระทำการแทนตามหนังสือรับรอง ผู้คัดค้านเข้าทำสัญญาจ้างพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารบัญชี การเงิน และงบประมาณกับการเคหะแห่งชาติ ตามสัญญาจ้างพัฒนาระบบสารสนเทศเลขที่ พด.279/47 ผู้คัดค้านจ้างผู้ร้องให้เป็นที่ปรึกษา ให้บริการ และทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบการเงิน บัญชี และสารสนเทศการเงินในโครงการ มีข้อตกลงให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการตามสัญญาที่ปรึกษาพร้อมคำแปล โดยผู้ร้องรับผิดชอบงานส่วน Back End ส่วนผู้คัดค้านรับผิดชอบงานส่วน Front End เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 ผู้คัดค้านเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 92/2551 ตามคำเสนอข้อพิพาท ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านและข้อเรียกร้องแย้งตามคำคัดค้าน/ข้อเรียกร้องแย้ง ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2556 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 4,208,541.91 บาท ให้ยกข้อเรียกร้องของผู้คัดค้านทั้งหมดและข้อเรียกร้องแย้งอื่นๆ ของผู้ร้องตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการพร้อมคำแปล คณะอนุญาโตตุลาการแจ้งคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านทราบแล้วตามหนังสือเรื่องส่งสำเนาคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการพร้อมทั้งบัญชีแนบท้ายคำชี้ขาด และใบตอบรับไปรษณีย์ และผู้ร้องมีหนังสือทวงถามไปยังผู้คัดค้านแล้วตามหนังสือทวงถามให้ชำระเงินพร้อมคำแปล และใบตอบรับไปรษณีย์ แต่ผู้คัดค้านเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการขัดแย้งต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนหรือไม่ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านอ้างว่า นายนิพนธ์ เจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางน้อย เจ้าหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเป็นพยานผู้ไม่มีส่วนได้เสียเบิกความยืนยันว่า ผู้ร้องทำงานไม่แล้วเสร็จ แต่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทำงานแล้วเสร็จครบถ้วนแล้ว เป็นการวินิจฉัยที่ขัดแย้งต่อพยานหลักฐานในสำนวน เห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งหลายที่อยู่ในสำนวน มิใช่พิจารณาจากพยาน หลักฐานชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น คดีนี้คณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาพยานหลักฐานของคู่พิพาททั้งสองฝ่าย ทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การเคหะแห่งชาติเปลี่ยนแปลงความต้องการจำนวนมาก ผู้คัดค้านยอมตกลงที่จะพัฒนาระบบเพิ่มเติม แต่อยู่นอกเหนือขอบข่ายงานของผู้ร้องตามสัญญาที่ปรึกษา ผู้ร้องทำงานของตนเสร็จสิ้นและส่งมอบงานแก่ผู้คัดค้าน และยังทำหน้าที่ให้การสนับสนุนเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 2 เดือน นับจากวันที่ Go-Live ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน 2549 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2549 แล้วผู้ร้องออกจากการเคหะแห่งชาติในช่วงเดือนกันยายน 2549 ภายหลังจากการสิ้นสุดระยะเวลาให้การสนับสนุน ดังนั้น ผู้ร้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องทำงานเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบงานเรียบร้อยตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่ปรึกษา ฝ่ายผู้คัดค้านทำงานในส่วนของตนล่าช้า และผิดสัญญาที่ปรึกษาไม่ชำระเงินค่างานงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้อง คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นคำวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนย่อมชอบด้วยกฎหมาย คำคัดค้านของผู้คัดค้านจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 ให้ผู้คัดค้านขอเพิกถอนหรือไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดได้ ที่ศาลแพ่งพิพากษามานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกามีเพียง 4,208,541.91 บาท ซึ่งจะต้องเสียค่าขึ้นศาล 21,042 บาท แต่ผู้คัดค้านเสียมา 21,162 บาท เกินมา 120 บาท จึงต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่ผู้คัดค้าน
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาส่วนที่เกิน 120 บาท แก่ผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นศาลฎีกาให้เป็นพับ

Share