แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกฟ้องในคดีอาญาว่าเป็นคนต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย จำเลยรับสารภาพจนศาลพิพากษาไป คดีถึงที่สุดแล้วภายหลังจำเลยจะมาฟ้องเป็นคดีต่อศาลขอพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นคนไทยนั้น เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลย่อมไม่ยอมให้จำเลยสืบตามข้ออ้าง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทย บิดาได้พาไปอยู่ประเทศจีนตั้งแต่ยังเยาว์ ต่อมาใน พ.ศ. 2492 โจทก์เดินทางเข้าประเทศไทย แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยและจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะส่งกลับประเทศจีนโดยอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่คนไทยจึงขอให้ศาลห้ามจำเลยและเจ้าหน้าที่ของจำเลยอย่าให้ขัดขวางในการที่โจทก์จะเข้ามาและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยตามสิทธิ ฯลฯ
จำเลยให้การว่าโจทก์มีสัญชาติและเชื้อชาติจีน โจทก์หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ถูกจับที่จังหวัดนราธิวาส ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ลงโทษจำเลย ฐานหลบหนีการเข้าเมือง คดีถึงที่สุดแล้ว
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงรับว่าได้เคยถูกฟ้องตามสำนวนคดีแดงที่ 128/2492 และ 200/2492 ของศาลจังหวัดนราธิวาสจริง
ศาลแพ่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ข้อที่ว่าโจทก์เป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้น ต้องถือเอาตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ 128/2492 และแดงที่ 200/2492 ของศาลจังหวัดนราธิวาสว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวจึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในมูลกรณีเดียวกันนี้โจทก์ให้การรับต่อศาลในคดีอาญาว่า เป็นคนต่างด้าวจนศาลพิพากษาไปแล้วมาบัดนี้จะขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทย เป็นการขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ศาลล่างไม่อนุญาตให้สืบชอบแล้ว จึงพิพากษายืน