คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2179/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยที่ 2 ที่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าไม่ทราบและไม่รับรองว่า ป. เป็นผู้ตกลงว่าจ้างโจทก์ด้วยตนเองหรือไม่ และตกลงค่าจ้างเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ยังไม่ชัดแจ้งเพียงพอว่า ป. ไม่ได้ติดต่อว่าจ้างโจทก์ด้วยตนเองโดยให้ค่าจ้างว่าความ 6,000,000 บาท ถือได้ว่าเป็นคำให้การไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ย่อมไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดี
ป. ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความโดยตกลงค่าจ้างว่าความ 6,000,000 บาท ภายหลังจากโจทก์ตกลงรับจ้างว่าความให้แก่ ป. โจทก์สอบถามข้อเท็จจริงจาก ป. ทางโทรศัพท์ อีกประมาณ 10 วัน โจทก์เรียงคำให้การเสร็จและนำใบแต่งทนายไปให้ ป. ลงชื่อนำไปยื่นต่อศาล ต่อมาโจทก์ทราบว่าคู่ความได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว ผลงานที่โจทก์กระทำให้ ป. มีอยู่ประมาณ 1 เดือนเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองคำนวณผลงานดังกล่าวและกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์ 200,000 บาท จึงเหมาะสมแก่รูปคดี
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่กำหนดดอกเบี้ยให้ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไร คงมีแต่คำขอในอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 จ่ายดอกเบี้ยด้วยเท่านั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์เรื่องดอกเบี้ยและปัญหานี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ฎีกาโจทก์เรื่องดอกเบี้ยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๓
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นางปักเป้า หยาดผกา แต่งตั้งโจทก์เป็นทนายความในคดีตามฟ้อง แต่จะเป็นผู้ตกลงว่าจ้างเองหรือไม่ และตกลงค่าว่าจ้างจำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบและไม่รับรอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางปักเป้า หยาดผกา ชำระเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี ส่วนค่าทนายความนั้น เนื่องจากโจทก์ว่าความเอง จึงไม่กำหนดให้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ ๒ ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นางปักเป้า หยาดผกา และจำเลยที่ ๑ ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความแก้ต่างในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๓๕๔๙/๒๕๓๘ หมายเลขแดงที่ ๒๒๔๑๐/๒๕๓๘ ของศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์สมควรได้รับค่าจ้างว่าความเพียงใด คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า นางปักเป้าและจำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความแก้ต่างในคดีที่ถูกนายสมานฟ้องดังกล่าว โดยตกลงให้ค่าจ้างเป็นค่าทนายความ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นางปักเป้าแต่งตั้งโจทก์เป็นทนายความในคดีที่ถูกฟ้อง แต่จะเป็นผู้ตกลงว่าจ้างเองหรือไม่ และตกลงค่าจ้างเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบและไม่รับรอง เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ ๒ ที่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าไม่ทราบและไม่รับรองว่านางปักเป้าเป็นผู้ตกลงว่าจ้างโจทก์เองหรือไม่ และตกลงค่าจ้างเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ยังไม่ชัดแจ้งเพียงพอว่านางปักเป้าไม่ได้ติดต่อว่าจ้างโจทก์ด้วยตนเองโดยให้ค่าจ้างว่าความ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถือได้ว่าเป็นคำให้การไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ย่อมไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดี จึงฟังเป็นยุติว่า นางปักเป้าเป็นผู้ติดต่อว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความแก้ต่างในคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๕๔๙/๒๕๓๘ หมายเลขแดงที่ ๒๒๔๑๐/๒๕๓๘ ของศาลชั้นต้น โดยตกลงค่าจ้างว่าความ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่เนื่องจากโจทก์ทำงานในหน้าที่ทนายความตามที่ได้รับว่าจ้างไม่แล้วเสร็จจึงมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์สมควรได้รับค่าจ้างว่าความเพียงใด ปัญหานี้โจทก์ฎีกาว่าติดใจขอค่าจ้างว่าความเพิ่มจากที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท อีก ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลฎีกาพิจารณาผลงานที่โจทก์ได้กระทำให้นางปักเป้าแล้ว เห็นว่า ภายหลังจากโจทก์ตกลงรับจ้างว่าความให้แก่นางปักเป้า โจทก์สอบถามข้อเท็จจริงจากนางปักเป้าทางโทรศัพท์ อีกประมาณ ๑๐ วัน โจทก์ก็เรียงคำให้การเสร็จ และนำใบแต่งทนายไปให้นางปักเป้าลงชื่อนำไปยื่นต่อศาล ต่อมาโจทก์ก็ทราบว่าคู่ความได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว ผลงานที่โจทก์กระทำให้นางปักเป้ามีอยู่ประมาณ ๑ เดือนเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองคำนวณผลงานดังกล่าวและกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลฎีกาจะกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์เพิ่มมากขึ้น ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มีคำขอมาในฎีกาด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่กำหนดดอกเบี้ยให้ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไร คงมีแต่คำขอในอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ จ่ายดอกเบี้ยด้วยเท่านั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์เรื่องดอกเบี้ย และปัญหานี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ฎีกาโจทก์เรื่องดอกเบี้ยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน จำเลยที่ ๒ ไม่ยื่นคำแก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share