คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1462/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยถูกฟ้องในคดีอาญาว่าเป็นคนต่างด้าว หลบหนี้เข้ามาในประเทศไทย จำเลยรับสารภาพจนศาลพิพากษาไป คดีถึงที่สุดแล้วภายหลังจำเลยจะมาฟ้องเป็นคดีต่อศาลพิศูจน์ว่าจำเลยเป็นคนไทยนั้น เป็นการขัดต่อ ป.ม.วิ.อาญามาตรา 46 ศาลย่อมไม่ยอมให้จำเลยสืบตามข้ออ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทย บิดาได้พาไปอยู่ประเทศจีนตั้งแต่ยังเยาว์ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๒ โจทก์เดินทางเข้าประเทศไทย แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยและจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะส่งกลับประเทศจีนโดยอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่คนไทย จึงขอให้ศาลห้ามจำเลยและเจ้าหน้าที่ของจำเลยอย่าให้ขัดขวางในการที่โจทก์จะเข้ามาและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยตามสิทธิ ฯลฯ
จำเลยให้การว่าโจทก์มีสัญชาติและเชื้อชาติจีน โจทก์หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ถูกจับที่จังหวัดนราธิวาส ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ลงโทษจำเลย ฐานหลบหนีการเข้าเมือง คดีถึงที่สุดแล้ว
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงรับว่าได้เคยถูกฟ้องตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๒๘/๒๔๙๒ และ ๒๐๐/๒๔๙๒ ของศาลจังหวัดนราธิวาสจริง
ศาลแพ่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ข้อที่ว่าโจทก์เป็นคนไทยหรือต่างด้าวนั้น ต้องถึอเอาตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๒๘/๒๔๙๒ และแดงที่ ๒๐๐/๒๔๙๒ ของศาลจังหวัดนราธิวาสว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อ
ศาลฎีกาเห็นว่า ในมูลกรณีเดียวกันนี้โจทก์ให้การรับต่อศาลในคดีอาญาว่า เป็นคนต่างด้าวจนศาลพิพากษาไปแล้วมาบัดนี้จะขอพิศูจน์ว่าเป็นคนไทย เป็นการขัดต่อ ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๔๖ ศาลล่างไม่อนุญาตให้สืบชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share