คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ซึ่งได้กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วนั้น การที่มีผู้เข้าครอบครองในภายหลังและรับโอนกันมาเป็นทอด ๆ แม้ผู้ได้รับโอนคนสุดท้ายจะได้รับมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินพร้อมทั้งตึกแถว ๒ ชั้น ๑ ห้อง จากการขายทอดตลาดของศาล และศาลได้มีหนังสือถึงนายอำเภอให้ทำนิติกรรมซื้อขายให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ รักษาการแทนนายอำเภอ ได้ติดต่อกับจำเลยที่ ๒ ให้รับรองในฐานะผู้ปกครองท้องที่ จำเลยที่ ๒ ไม่รับรอง จำเลยที่ ๑ จึงไม่ยอมทำนิติกรรมซื้อขายให้โจทก์ ขอให้บังคับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทตกเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่มีหลักฐานพอฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ ทำการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทและห้ามจำเลยที่ ๒ ขัดขวาง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทได้กลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วโดยเจ้าของเดิมยกให้เทศบาลเพื่อใช้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ เมื่อที่พิพาทได้กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว การที่มีผู้เข้าครอบครองที่พิพาทในภายหลังและรับโอนกันเป็นทอด ๆ จนถึงโจทก์เป็นคนสุดท้าย แม้โจทก์จะได้รับโอนมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนก็ดีโจทก์หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ เพราะที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินต้องห้ามการโอน เว้นแต่อาศัยอำนาจบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๕
เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและหน้าที่ราชการ หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่ จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้น

Share