คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตอนแรกของเอกสารเป็นรายการจ่ายเงินให้แก่จำเลยซึ่งมีทั้งเงินสดและเช็ค ไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และจะชดใช้ให้โจทก์อย่างไรแม้จำเลยลงลายมือชื่อตามรายการดังกล่าว ก็ไม่เป็นหลักฐานว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ ส่วนตอนที่สองอยู่ในช่องหมายเหตุที่ระบุว่า จำเลยรับเงินสดพร้อมเช็คจำนวนรวม 300,000 บาท จะนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระคืนให้โจทก์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2524 จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อ รับรองเนื้อความดังกล่าว จึงไม่เป็นหลักฐานการกู้เงิน สภาพของเอกสาร แสดงว่าข้อความในช่องหมายเหตุ ได้พิมพ์ขึ้นภายหลังข้อความตอนแรก แบบของเอกสาร ก็ไม่ใช่เป็นสัญญากู้เงิน แต่เป็นใบสำคัญการจ่ายเงิน ซึ่งจำเลยรับไปในฐานะเป็นสมาชิกของกลุ่ม การเมืองนำไปใช้จ่ายในการโฆษณาหาชื่อเสียงของพรรค

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 352,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2523 จำเลยกู้เงินโจทก์ไป300,000 บาท ตกลงจะให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีกำหนดชำระคืนวันที่ 8 พฤษภาคม 2524 จำเลยได้รับเงินสด15,000 บาท รับเป็นเช็ค 2 ฉบับ ได้รับเงินไปครบแล้วตามใบสำคัญการจ่ายเงินเอกสารหมาย จ.1 เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแล้ว
จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยโสธรเมื่อปลายปี 2523 จำเลยได้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองชื่อกลุ่มแนวมหาชน มีพลตรีสุดสาย หัศดิน เห็นหัวหน้ากลุ่มนายวัฒนา อัศวเหม เป็นเลขาธิการ เตรียมการจดทะเบียนตั้งเป็นพรรคการเมือง จำเลยได้รับเงินจากนายวัฒนา เลขาธิการ300,000 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการโฆษณาชื่อเสียงของกลุ่มพรรคการเมืองดังกล่าว เมื่อจัดตั้งพรรคการเมืองไม่สำเร็จนายวัฒนาได้ชวนให้จำเลยไปเข้าพรรคชาติประชาธิปไตย จำเลยไม่ไปทำให้นายวัฒนาไม่พอใจจึงให้โจทก์มาฟ้องคดีนี้ ขณะที่จำเลยลงชื่อรับเงินเอกสารหมาย จ.1 กรอกข้อความเฉพาะจำนวนเงินเท่านั้น ข้อความในช่องรายการและช่องหมายเหตุยังไม่มี ส่วนช่องผู้สั่งจ่ายและผู้จ่ายเงินยังไม่มีผู้ใดลงชื่อจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยจะต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ได้พิเคราะห์เอกสารหมาย จ.1ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นสัญญากู้เงินซึ่งจำเลยทำไว้ให้โจทก์แล้วเห็นว่า มีข้อความเป็นสองตอน ตอนแรกเป็นรายการที่จ่ายเงินให้แก่จำเลยซึ่งมีทั้งเงินสดและเช็ครวมเป็นจำนวนเงิน300,000 บาทตามฟ้อง ตามรายการดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และจะชดใช้ให้โจทก์อย่างไรแม้จะฟังว่าจำเลยได้ลงลายมือชื่อตามรายการดังกล่าวก็ไม่เป็นหลักฐานว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป ส่วนตอนที่สองอยู่ในช่องหมายเหตุที่ระบุว่าจำเลยรับเงินสดพร้อมเช็คจำนวนรวม 300,000 บาท จะนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระคืนให้โจทก์ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2524 นั้น จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองเนื้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นหลักฐานการกู้เงินตามฟ้องแต่อย่างใด และตามสภาพของเอกสารแสดงว่าข้อความในช่องหมายเหตุดังกล่าวได้พิมพ์ขึ้นภายหลังข้อความตอนแรก การลงลายมือชื่อของจำเลยก็ตรงกับข้อความตอนแรกเท่านั้น แบบของเอกสารก็ไม่ใช่เป็นสัญญากู้เงินแต่เป็นใบสำคัญการจ่ายเงิน จำเลยนำสืบว่าจำเลยรับเงินจำนวนนี้ไปในฐานะเป็นสมาชิกของกลุ่มการเมือง นำไปใช้จ่ายในการโฆษณาหาชื่อเสียงของพรรครวมทั้งค่าใช้จ่ายในการกุศลของสมาชิกที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย2,000 บาท

Share