แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนรถยนต์และสัมปทานทางวิ่งรถยนต์พิพาทจะโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์โจทก์ในปี 2527 จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์และเจ้าของสัมปทานทางวิ่งรถยนต์พิพาทมาก่อน แต่ต่อมาจำเลยใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียนรถแทนด้วยการทำสัญญาเช่าจากโจทก์แทนสัญญากู้ยืมเงินกันจริง กรณีจึงต้องบังคับกันตามสัญญากู้ยืมที่อำพรางกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์โดยสารจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 22,500 บาท ครบกำหนดวันที่ 31ธันวาคม 2530 ชำระค่าเช่าทุกวันที่สุดท้ายของเดือน หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ายินยอมให้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันที ตั้งแต่จำเลยได้รับมอบรถยนต์โดยสารตามสัญญาเช่าไปแล้ว ไม่ชำระค่าเช่า นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 10 เดือนเป็นเงินค่าเช่า 225,000 บาท โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้บังคับจำเลยให้ส่งมอบรถยนต์โดยสารคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 225,000 บาท ให้ชำระค่าเช่าเดือนละ 22,500 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์โดยสารในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเช่ารถยนต์พิพาทจากโจทก์รถยนต์พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยใช้รับส่งผู้โดยสารประจำทางสายฉะเชิงเทรา – อรัญประเทศ ร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัดตั้งแต่ปี 2523 ติดต่อกันตลอดมาไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2523 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ต่อมาประมาณกลางปี 2527 จำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อและหนี้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พิพาท จำเลยจึงกู้ยืมเงินจากโจทก์และญาติพี่น้องของโจทก์ รวมจำนวน 700,107 บาท ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อเดือน โดยตกลงว่า หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้บริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จำเลยจะโอนทะเบียนรถให้โจทก์ และโอนชื่อให้โจทก์เป็นผู้ประกอบการขนส่งเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินดังกล่าวโดยให้จำเลยทำสัญญาเช่ารถยนต์พิพาทจากโจทก์เป็นการอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน โจทก์เริ่มนับดอกเบี้ยจากต้นเงินเพียง 700,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2528 ซึ่งโจทก์และนางอุษาน้องของโจทก์คำนวณไว้ว่าจำเลยต้องส่งดอกเบี้ยเดือนละ 17,500 บาท ในสัญญาเช่ากำหนดไว้ว่า จำเลยมีสิทธิขอซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์ได้ในราคา700,000 บาท ทั้งนี้ หมายความว่าในกำหนดอายุสัญญาเช่า 1 ปีหากจำเลยสามารถชำระเงินจำนวน 700,000 บาท และชำระดอกเบี้ยอีกเดือนละ 17,000 บาท โจทก์ก็จะโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นชื่อของจำเลย และโอนชื่อผู้ประกอบการขนส่งเป็นชื่อจำเลย แต่ราคารถยนต์พิพาทและสิทธิการนำรถยนต์เข้าร่วมรับส่งคนโดยสารกับบริษัทขนส่ง จำกัด มีราคาเป็นเงินมากกว่าจำนวน 2,000,000บาท จึงเป็นการยืนยันว่าสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนรถยนต์และสัมปทานทางวิ่งรถยนต์พิพาทจะโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์โจทก์ในปี 2527 จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์และเจ้าของสัมปทานทางวิ่งรถยนต์พิพาทมาก่อนแต่ต่อมาใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียนรถแทนด้วยการทำสัญญาเช่าจากโจทก์แทนสัญญากู้ยืมเงินกันจริง กรณีจึงต้องบังคับกันตามสัญญากู้ยืมที่อำพรางกันไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 วรรคสอง
พิพากษายืน