คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14508/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 5 นำเช็คพิพาทฟ้องโจทก์ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ไม่เป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 และเมื่อเหตุดังกล่าวเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 5 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ามีมูลได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 90, 91, 175, 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า ข้อหาฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้ประทับฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และข้อหาเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เดิมบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด เป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยที่ 1 จำนวน 3,500,000 บาท กำหนดผ่อนชำระหนี้ทุกวันที่ 16 ของเดือน รวม 36 เดือน เป็นเงินเดือนละ 125,328 บาท ต่อมาบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด ประสบปัญหา โจทก์และนายวฤทธิ์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทในขณะนั้นจึงเจรจาขอผ่อนผันการชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ส่งตัวอย่างหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นโจทก์ทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ ส่งให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า รวม 12 ฉบับ ซึ่งมีโจทก์และนายวฤทธิ์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด ให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วย โดยเช็คพิพาท 3 ฉบับ ในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของเช็คที่โจทก์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 ดำเนินการแทนตามหนังสือมอบอำนาจ แล้วจำเลยที่ 4 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 5 หรือจำเลยที่ 6 ฟ้องบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด โจทก์และนายวฤทธิ์ต่อศาลแขวงพระนครใต้เป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค กล่าวหาว่าบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด โจทก์และนายวฤทธิ์ในฐานะกรรมการและในฐานะส่วนตัวร่วมกันสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้เงินกู้สินเชื่อเจ้าของกิจการซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค แต่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีมูลความผิดข้อหาฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 หรือไม่ เห็นว่า ตามตัวอย่างหนังสือแจ้งความประสงค์เป็นแบบฟอร์มการขอผ่อนผันการชำระหนี้ซึ่งระบุภาระหนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยที่ 1 ไว้ชัดแจ้งว่า เพียงวันที่ 20 มิถุนายน 2549 เป็นเงิน 2,782,909.20 บาท และมีข้อความระบุว่าเป็นการขอผ่อนชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวด งวดละไม่น้อยกว่า 1.5% ของยอดหนี้ที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นครบถ้วนและการที่จำเลยที่ 1 ยอมผ่อนผันการชำระหนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิจำเลยที่ 1 ในอันที่จะยึดถือตามเงื่อนไขการให้สินเชื่อที่ระบุในสัญญาให้สินเชื่อและไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ รวมทั้งจำเลยที่ 1 อาจยกเลิกหรือเพิกถอนการผ่อนชำระหนี้เวลาใดก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร โดยระบุว่าต้องมีการออกเช็คสั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 จำนวน 12 ฉบับ ฉบับละ 42,000 บาท ลงวันที่ 16 ของทุกเดือน เริ่มเดือนสิงหาคม 2549 เป็นเอกสารประกอบการขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ที่โจทก์และนายวฤทธิ์ในฐานะกรรมการบริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด มีไปถึงจำเลยที่ 1 ก็มีข้อความตรงกับเอกสารที่เป็นการเสนอขอผ่อนผันการชำระหนี้ แต่ข้อตกลงในการขอผ่อนผันการชำระหนี้เป็นเพียงการขอผ่อนผันด้วยการให้ผ่อนชำระหนี้ในแต่ละงวดเป็นจำนวนเงินน้อยลงกว่าจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวดตามสัญญาเท่านั้น ทั้งตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ก็ยังมีข้อความชัดเจนว่า การผ่อนผันการชำระหนี้ไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะยึดถือตามเงื่อนไขการให้สินเชื่อเดิมและไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ นอกจากนั้นยังไม่ปรากฏว่ามีข้อความใดในหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ ที่แสดงว่าเช็คพิพาทที่โจทก์สั่งจ่ายลงวันที่ล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นเพียงหลักประกันหรือมีเงื่อนไขข้อตกลงให้ถือเป็นเช็คเพื่อชำระหนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 อนุมัติให้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ออกเช็คพิพาทนั้น บริษัทสินสยามโลหะกิจ จำกัด มีหนี้เงินกู้ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 จริงและโจทก์ออกเช็คระบุให้สั่งจ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 โดยลงวันที่และจำนวนเงินที่สั่งจ่ายครบถ้วน ย่อมฟังได้ว่าเป็นการออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายและเมื่อปรากฏว่าถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คแล้วจำเลยที่ 1 ไม่อาจเรียกเก็บเงินตามเช็คได้เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 5 นำเช็คพิพาทฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จึงเป็นการดำเนินการตามสิทธิโดยสุจริตตามกฎหมาย ไม่เป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และเมื่อเหตุดังกล่าวเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 5 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ามีมูลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 213 และมาตรา 225 ส่วนปัญหาว่าคดีโจทก์มีมูลในความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จแล้ว การที่จำเลยที่ 6 เบิกความไปตามที่ฟ้องนั้น จึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ฎีกาทุกข้อของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ในข้อหาฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share