แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 70,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 ฎีกาของจำเลยโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสุทรรศ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) จำคุก 3 ปี และให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ร่วมเป็นอาของนายทวี และเป็นเจ้าของบ้านเกิดเหตุร่วมกันกับนายทวี ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2552 นายทวีพาจำเลยซึ่งเป็นคนเชื้อชาติพม่า สัญชาติพม่าและอยู่กินฉันสามีภริยากับนายทวีเข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมกับจำเลยอยู่ที่บ้านเกิดเหตุเพียงสองคนและเกิดมีปากเสียงโต้เถียงกัน แล้วโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นแขนขวาหักกับมีรอยฟกชํ้าบริเวณหน้าอก เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ และภาพถ่ายบาดแผลของผู้กล่าวหา
จำเลยฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่า โจทก์ร่วมมีส่วนในการกระทำความผิด เป็นผู้ก่อภัยขึ้นก่อน จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนแพ่ง และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความเสียหายว่า โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายอย่างไร ศาลจึงไม่สามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนในคดีส่วนแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมได้นั้น เห็นว่า สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 70,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วม 15,000 บาท แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักจากค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ และเมื่อฟังได้ว่าจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วมแล้ว 15,000 บาท จึงต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักจากค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ร่วม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1