คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่าอันเป็นการทำลายป่าเพื่อยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แล้วรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปีเช่นเดียวกับจำเลยอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนร่วมกันกระทำผิดดังฟ้องโจทก์ การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2- ที่ 17ให้มาร่วมกระทำผิดด้วย เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติมาแล้วเป็นการวินิจฉัยไม่ชอบ แม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนกับพวกอีก 1 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่า อันเป็นการทำลายป่า เพื่อยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนหรือผู้อื่น คิดเป็นเนื้อที่ป่าที่ถูกแผ้วถางจำนวน 35 ไร่ โดยจำเลยทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งหมดได้พร้อมด้วยมีดขอจำนวน 10 เล่ม จอบจำนวน 8 เล่ม เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 22พระราชบัญญัติ ป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง และสั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกไปจากป่านั้น
จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี (ที่ถูกเป็นมาตรา 72 ตรี วรรคสอง), 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 22 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 14ที่ 15 และที่ 17 อายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 กึ่งหนึ่ง จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ12,000 บาท จำเลยนอกนั้นจำคุกคนละ 2 ปีปรับคนละ 24,000 บาท จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง ลงโทษจำเลยที่ 4 ที่ 5ที่ 6 ที่ 7 ที่ 14 ที่ 15 และที่ 17 จำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ6,000 บาท จำเลยนอกนั้นจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนดคนละ2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ และให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากป่า
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 หนักขึ้น โดยไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 72 ตรี วรรคสอง ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าก่นสร้าง แผ้วถางป่า อันเป็นการทำลายป่าเพื่อยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แล้วรอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี เช่นเดียวกับจำเลยอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งสิบเจ็ดคนร่วมกันกระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 2-ที่ 17 ให้มาร่วมกระทำผิดด้วยเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติมาแล้วเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ แม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 1 ต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาจำเลยที่ 1 โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share