แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำผิดในเวลากลางวัน มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ถึงสองคนหลังเกิดเหตุราว 1 ชั่วโมง เจ้าพนักงานตำรวจก็จับกุมจำเลยได้ ในลักษณะที่เสื้อผ้าของจำเลยยังเปรอะเปื้อนโลหิตของผู้ตายนอกจากนี้ยังมีวัตถุพยานคือ ขวานเปื้อน โลหิตที่มีเส้นผมติดอยู่ทั้ง2 เล่ม ในที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์ได้ว่าคราบโลหิตทั้งหมดเป็นโลหิตมนุษย์หมู่เดียวกัน เส้นผมของกลางก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเส้นผมของผู้ตาย พยานหลักฐานดังกล่าวพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับว่าทำร้ายผู้ตายจริงคำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ และการที่จำเลยกระทำผิดเพราะความมึนเมาสุราความมึนเมาก็มิใช่เหตุบรรเทาโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 78 จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุกระทำผิดขึ้นก่อน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นบันดาลโทสะ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 339 ริบของกลาง คืนเงินจำนวน 67.25 บาท แก่เจ้าของและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสุรา 1 ขวด ราคา 40 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพว่าฆ่าผู้ตายจริงโดยบันดาลโทสะเนื่องจากผู้ตายด่าว่าจำเลย ไม่ได้ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6)(7), 339 วรรคท้าย เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 289(6)(7) ซึ่งเป็นบทหนักให้ประหารชีวิตจำเลย ริบขวานของกลาง คืนเงิน 67.25 บาท แก่เจ้าของ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสุรา 1 ขวด ราคา 40 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะที่เด็กหญิงรำพึง เชิดโคกสูง ผู้ตายกับน้องอีกสองคนคือเด็กชายประสาน เชิดโคกสูง และเด็กชายสุรเดชเชิดโคกสูง อยู่ที่บ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำ จำเลยได้เข้าไปในบ้านหยิบขวดสุราไปดื่มแล้วพูดขอเงินผู้ตาย เมื่อผู้ตายให้เงิน10 บาท จำเลยก็ขออีก 10 บาท ผู้ตายไม่ให้ จำเลยพูดว่าถ้าไม่ให้จะเอาไปฆ่า เมื่อผู้ตายไม่ให้เงิน จำเลยก็ฉุดมือผู้ตายพาไปที่บ้านของบิดาจำเลยซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน น้องทั้งสองคนของผู้ตายตามออกไปเห็นจำเลยพาผู้ตายเข้าไปในครัว น้องทั้งสองคนของผู้ตายกลัวจึงวิ่งหนีกลับบ้าน ต่อมาสักครู่หนึ่ง จำเลยซึ่งตามตัวเปรอะเปื้อนโลหิตได้เดินไปค้นเอาเงินในกระป๋องใส่เงินในบ้านผู้ตายแล้วก็ออกจากบ้านไป น้องทั้งสองของผู้ตายวิ่งไปดูก็พบผู้ตายนอนตายอยู่ในครัว มีขวาน 2 เล่ม เปื้อนโลหิตวางอยู่ใกล้ ๆ ศพผู้ตายจึงวิ่งไปบอกเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มีชาวบ้านไปแจ้งความต่อมาเวลาประมาณ 10 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ที่ที่พักคนโดยสารประจำทาง ขณะถูกจับกุมจำเลยมีอาการเมาสุราและมีโลหิตติดอยู่ที่เสื้อผ้า เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเงิน 67.25 บาทในตัวจำเลย พนักงานสอบสวนไปดูสถานที่เกิดเหตุ พบผู้ตายมีบาดแผลที่ลำคอ แก้มและคิ้วนอนตายอยู่ในครัว ได้ทำรายงานชันสูตรพลิกศพไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 พนักงานสอบสวนส่งขวาน เส้นผมซึ่งติดอยู่ที่ขวาน เสื้อกางเกงและรองเท้าเปื้อนโลหิตของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า คราบโลหิตที่ขวานและที่เสื้อกางเกงกับรองเท้าของจำเลยเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่เดียวกัน เส้นผมที่ติดอยู่ที่ขวานทั้งสองเล่มก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเส้นผมของผู้ตาย ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ
พิเคราะห์แล้ว ในชั้นนี้คงมีปัญหาแต่เพียงว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุบรรเทาโทษสมควรลดโทษให้ผู้ตายหรือไม่ เห็นว่าจำเลยทำผิดในเวลากลางวันมีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ถึงสองคน หลังเกิดเหตุราว 1 ชั่วโมง เจ้าพนักงานตำรวจก็จับกุมจำเลยได้ ในลักษณะที่เสื้อผ้าของจำเลยยังเปรอะเปื้อนโลหิตของผู้ตายนอกจากนี้ก็ยังมีวัตถุพยานคือขวานเปื้อนโลหิตที่มีเส้นผมติดอยู่ทั้ง 2 เล่ม ในที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์ได้ว่า คราบโลหิตทั้งหมดเป็นโลหิตมนุษย์หมู่เดียวกัน เส้นผมของกลางก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเส้นผมของผู้ตาย พยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้นพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับว่าทำร้ายผู้ตายจริง คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดเพราะความมึนเมาสุราและบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า ความมึนเมามิใช่เหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุกระทำความผิดขึ้นก่อน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นบันดาลโทสะตามกฎหมาย…”
พิพากษายืน.