แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์และจำเลยร่วมจะเรียกชื่อสัญญาพิพาทว่าเป็นสัญญาเช่าเวลาจัดรายการและโฆษณาสินค้า แต่รายละเอียดของสัญญาแสดงว่าโจทก์ไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินใดให้แก่จำเลยร่วมเพื่อให้จำเลยร่วมได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินใดเลยการจัดรายการและโฆษณาสินค้าของจำเลยร่วมตามที่ตกลงกับโจทก์ ตามสัญญาแม้จำเลยร่วมจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงินแก่โจทก์เพื่อ การนั้น แต่ฝ่ายโจทก์ยังเป็นผู้ดำเนินการหรือบริการให้ ทั้งสิ้น สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาเช่าทรัพย์หากแต่เป็นสัญญาที่ตกลงให้บริการการออกอากาศกระจายเสียงและแพร่ภาพทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ของโจทก์ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันโดยมีค่าตอบแทน ซึ่งโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานดังกล่าวให้จำเลยร่วมเท่านั้น ดังนี้ การที่โจทก์เรียกเอาค่าตอบแทนการจัดรายการและโฆษณาสินค้าตามที่ตกลงไว้กับจำเลยร่วมจึงไม่ใช่เป็นการเรียกเอาค่าเช่าสังหาริมทรัพย์อันจะอยู่ภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(6)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 19,236,737.51 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 16,973,250 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า บริษัทนิวส์เน็ตเวอร์ค จำกัด มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ความจริงโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่างตอบแทนต่อบริษัทนิวส์เน็ตเวอร์ค จำกัด บริษัทนิวส์เน็ตเวอร์ค จำกัดจึงใช้สิทธิยึดหน่วงค่าเช่าเวลาดังกล่าว และได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 175,444,074.17 บาท จากโจทก์ กับได้มีหนังสือสั่งมิให้จำเลยชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับรวมทั้งดอกเบี้ยจากบริษัทนิวส์เน็ตเวอร์ค จำกัด และจำเลย วันที่ 27 กันยายน 2532 จำเลยนำเงิน 9,070,939 บาทไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี แต่โจทก์ปฏิเสธไม่รับเงินดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจากเงินดังกล่าวนับแต่ได้วางทรัพย์ สิทธิเรียกร้องค่าเช่าเวลาและค่าปรับของเดือนสิงหาคม 2532 ถึงเดือนตุลาคม 2532 เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2532 ส่วนค่าเช่าเวลาและค่าปรับของเดือนพฤศจิกายน 2532 เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม2532 โจทก์เป็นผู้ค้าในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่าจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่5 พฤศจิกายน 2534 คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เรียกบริษัทนิวส์เน็ตเวอร์ค จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมชำระเงิน16,973.250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,263,487.51 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับต้นเงินนั้นให้จำเลยคงรับผิดต่อโจทก์จำนวน 589,948.75 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 โจทก์กับจำเลยร่วมได้ตกลงทำสัญญาเช่าเวลาจัดรายการและโฆษณาสินค้าทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยของโจทก์ รวม 6 เขต มีกำหนดระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2531 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2534 โดยแพร่ภาพออกอากาศได้พร้อมกันทุกสถานีเครือข่ายด้วยสัญญาณเชื่อมโยงในระบบไมโครเวฟจากสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11กรุงเทพมหานคร ยกเว้นสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์จังหวัดมุกดาหารของศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 1 สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 4 จังหวัดอุบลราชธานี สถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ ช่อง 10จังหวัดบุรีรัมย์ และสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ ช่อง 11 จังหวัดสุรินทร์ ของศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 2 ซึ่งจะต้องออกรายการโดยเทปโทรทัศน์ โดยมีอัตราค่าเช่าตามที่ระบุรายละเอียดแนบท้ายสัญญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยร่วมเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ส่วนใหญ่ขาดอายุความคงมีจำนวนหนี้ที่ไม่ขาดอายุความเพียง 589,948.75 บาทเท่านั้น และพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวนที่ไม่ขาดอายุความนี้แก่โจทก์ โจทก์ฎีกาว่า หนี้ตามคำฟ้องไม่ขาดอายุความตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดี จำเลยแก้ฎีกาว่า หนี้ตามคำฟ้องขาดอายุความแล้วตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยคงรับผิดในหนี้ของจำเลยร่วมที่ไม่ขาดอายุความเป็นจำนวน 589,948.75 บาท เท่านั้นจึงมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความหรือไม่ จำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าให้เช่าเวลาทำสัญญากับจำเลยร่วมให้จำเลยร่วมใช้สัญญาณและอุปกรณ์บางส่วนของโจทก์จัดรายการและโฆษณาสินค้าทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นการให้เช่าสังหาริมทรัพย์ โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยร่วมให้รับผิดในค่าเช่าภายในอายุความ 2 ปี ซึ่งจำเลยย่อมหยิบยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้เช่นกัน เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยร่วมจะเรียกชื่อสัญญาฉบับนี้ว่าเป็นสัญญาเช่าเวลาจัดรายการและโฆษณาสินค้าทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ของกรมประชาสัมพันธ์แต่รายละเอียดของสัญญาระบุไว้ในข้อ 5 ว่าผู้เช่าเวลาหรือตัวแทนต้องจัดส่งข้อความ ถ้อยคำ ภาพ ภาพยนตร์ เสียง หรือเทปบันทึกภาพหรือเสียง หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้ออกอากาศให้แก่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝ่ายรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ทำการตรวจและพิจารณาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 วัน ก่อนนำออกอากาศ และผู้ให้เช่าเวลาจะจัดให้เจ้าหน้าที่ควบคุมฝ่ายรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือแก่ผู้เช่าเวลาในการจัดเรียงรายการแพร่ภาพทางอากาศ รวมทั้งการเรียงแพร่ภาพโฆษณาตามเทปออกรายการและเทปโฆษณาที่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝ่ายรายการดังกล่าวได้พิจารณาตรวจสอบแล้วสัญญาข้อ 6 ระบุว่า ผู้ให้เช่าเวลา หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมฝ่ายรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย มีสิทธิสั่งให้ผู้เช่าเวลาหรือตัวแทนทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงตัดทอนซึ่งข้อความ ถ้อยคำ ภาพ ภาพยนตร์ เสียง หรือเทปบันทึกภาพหรือเสียงหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ส่งให้ทำการตรวจและพิจารณาตามข้อ 5 ได้หากปรากฏว่าขัดต่อระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์พ.ศ. 2518 และมติ เงื่อนไข คำสั่งของ กบว.หรือกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของกรมประชาสัมพันธ์ ตามข้อสัญญาดังกล่าวเห็นได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินใดให้แก่จำเลยร่วมเพื่อให้จำเลยร่วมได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินใดเลยการจัดรายการและโฆษณาสินค้าของจำเลยร่วมตามที่ตกลงกับโจทก์ตามสัญญา ฝ่ายโจทก์เป็นผู้ดำเนินการ หรือบริการให้ทั้งสิ้นแม้จำเลยร่วมจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงินแก่โจทก์เพื่อการนั้นก็ตามสัญญาที่จำเลยร่วมตกลงเช่าเวลาจัดรายการและโฆษณาสินค้าทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจากโจทก์มิใช่สัญญาเช่าทรัพย์ตามกฎหมาย หากแต่เป็นสัญญาที่ตกลงให้บริการออกอากาศกระจายเสียงและแพร่ภาพทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ของโจทก์ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันโดยมีค่าตอบแทนซึ่งถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานดังกล่าวให้จำเลยร่วมเท่านั้น เมื่อนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมตามสัญญาไม่ใช่การเช่าทรัพย์ การที่โจทก์เอาค่าตอบแทนการจัดรายการและโฆษณาสินค้าตามที่ตกลงไว้กับจำเลยร่วม จึงไม่ใช่เป็นการเรียกเอาค่าเช่าสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (6) จำเลยร่วมเป็นหนี้ของโจทก์เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าตามฟ้อง โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระหนี้นั้น จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น