แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฝ่ายผู้เสียหายพิมพ์คำให้การและแผนที่เกิดเหตุแจกจ่ายพยานโจทก์เพื่อให้พยานเบิกความตามนั้น แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาลพยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่เขาพิมพ์แจกมาให้การต่อศาล ดังนี้คำพยานเหล่านี้ถ้าเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ป.ม.วิ.อาญามาตรา 226
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑-๒-๓-๔ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๘ ตอน ๒ จำคุกคนละ ๕ ปี และสำหรับจำเลยที่ ๓ ผิดตามมาตรา ๒๗๐ อีกกะทงหนึ่ง จำคุก ๖ เดือน จำเลยที่ ๕ ไม่ผิดให้ปล่อยตัวไป
จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑-๒ และ ๔ เสียด้วย นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑-๒-๔
จำเลยที่ ๓ ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้เสียหายได้เสี้ยมสอนจงใจพยานโจทก์ให้เบิกความปรักปรำจำเลย ศาลจะรับฟังพยานเหล่านั้นมาลงโทษจำเลยไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืน ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๒๒๖
ศาลฎีกาเห็นว่าแม้นายชื่นพี่ชายนายชุมผู้เสียหายจะได้พิมพ์คำให้การพร้อมทั้งแผนที่แจกจ่ายพยาน เช่น นายสุนทร นายเยื้อน พยานโจทก์ก็ดี แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาล พยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่นายชื่นพิมพ์แจกมาให้การต่อศาล เมื่อเป็นดั่งนี้คำพยานเหล่านี้หากเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๒๒๖ อนึ่งในคดีนี้ศาลล่างทั้งสองก็ฟังข้อเท็จจริง โดยพยานเอกสารประกอบด้วยจำเลยก็เบิกความรับเข้ามา และมีพิรุธในการแก้ตัวชั้นสอบสวน จึงเห็นว่าศาลล่างใช้ดุลยพินิจ วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ ๓ ชอบแล้ว
ส่วนฎีกาของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑-๒-๔ นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน