แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐานเข้ากับชุมสายโทรศัพท์แบบอัตโนมัติของโจทก์ จำเลยทั้งสองตกลงเข้าร่วมงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์พื้นฐานในพื้นที่โทรศัพท์นครหลวงจำนวนสองล้านเลขหมาย โดยจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันจากส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการ เช่น ค่าติดตั้งโทรศัพท์ ค่าเช่าเลขหมายโทรศัพท์ ค่าใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญโดยไม่จดทะเบียน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด ตามมาตรา 1025 แม้สัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายกิจการจะระบุว่า บรรดาความรับผิดชอบที่จำเลยที่ 2 มีต่อบุคคลภายนอก จำเลยที่ 1 จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ข้อสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่มีผลผูกพันกับโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 53,366.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 43,131.80 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 53,366.43 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 43,131.80 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 พฤศจิกายน 2545) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์พื้นฐานเข้ากับชุมสายโทรศัพท์ระหว่างประเทศแบบอัตโนมัติของโจทก์ เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ โดยโจทก์ตกลงแบ่งรายได้ค่าใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศแก่จำเลยที่ 1 นาทีละ 6 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงเข้าร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์พื้นฐานในพื้นที่ของโทรศัพท์นครหลวงจำนวนสองล้านเลขหมาย โดยจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการรับคำขอและกำหนดเลขหมายให้แก่ผู้ขอใช้บริการ และโจทก์จะเป็นผู้เรียกเก็บค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศจากผู้ขอใช้บริการโดยตรง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ได้มีบุคคลแอบอ้างใช้ชื่อว่า นางสาววรัญญามอบอำนาจให้นายอำนวยไปทำสัญญาขอใช้บริการโทรศัพท์จำนวน 2 เลขหมายกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนและได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้อนุมัติให้บริการโทรศัพท์แก่บุคคลดังกล่าวจำนวน 2 เลขหมาย คือ 0 2848 9014 และ 0 2848 9015 ต่อมามีการใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศจากโทรศัพท์ 2 เลขหมายดังกล่าวไปยังประเทศต่างๆ และค้างชำระค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศทั้งสิ้น 43,131.80 บาท หลังจากนั้นโจทก์ฟ้องเรียกค่าใช้บริการโทรศัพท์ดังกล่าวจากนางสาววรัญญา แต่ปรากฏว่านางสาววรัญญามิได้เป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์ดังกล่าว โดยมีบุคคลอื่นปลอมลายมือชื่อของนางสาววรัญญาลงในคำขอ/สัญญาบริการโทรศัพท์ โจทก์จึงถอนฟ้องนางสาววรัญญาแล้วยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง และโจทก์มิได้ฎีกา คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการที่สองว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้กำหนดหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในการรับคำขอและตรวจสอบเอกสารของผู้ขอใช้บริการรวมทั้งการทำสัญญาบริการโทรศัพท์แทนโจทก์ไว้ก็ตาม แต่โจทก์มิใช่เป็นผู้ติดต่อกับผู้ขอใช้บริการโดยตรง เพราะผู้ขอใช้บริการจะต้องทำคำขอตามแบบฟอร์มของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ออกคำสั่งกำหนดวิธีการให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการรับคำขอจากผู้ใช้บริการตามคำสั่งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามสัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ข้อ 40 (ก) ที่จำเลยที่ 1 สามารถมอบหมายงานให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการได้นั้น แสดงให้เห็นว่าหน้าที่ดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแทนในฐานะผู้ร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์ โดยเมื่อจำเลยที่ 2 ดำเนินการตรวจเอกสารหลักฐานประกอบสัญญาเช่าถูกต้องแล้วจะต้องส่งสัญญาเช่าไปให้จำเลยที่ 1 ลงนามในฐานะคู่สัญญากับผู้ขอใช้บริการโทรศัพท์ต่อไป นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังตกลงแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันจากส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการ เช่น การติดตั้งโทรศัพท์ ค่าเช่าเลขหมายโทรศัพท์ ค่าใช้บริการโทรศัพท์ในท้องถิ่น ค่าใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันถือได้ว่าเป็นการตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญโดยไม่จดทะเบียน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด ตามมาตรา 1025 แม้จะปรากฏจากสัญญาร่วมการงานและร่วมลงทุนขยายกิจการบริการโทรศัพท์ ข้อ 5 (ค) ที่ระบุว่า บรรดาความรับผิดชอบที่จำเลยที่ 2 มีต่อบุคคลภายนอก จำเลยที่ 1 จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ข้อสัญญาดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันถึงโจทก์ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสองอันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ แต่เมื่อคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพราะโจทก์มิได้ฎีกาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มาด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ