แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่จำเลยทั้งสองปลอมคำร้องขอเป็นสมาชิกของโจทก์ราย ก. มีลูกจ้างโจทก์รับไปดำเนินการ โจทก์ยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คงมีเพียงคณะกรรมการดำเนินการขอจัดตั้งสมาคม ผู้เสียหายสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารคือบุคคลที่รับเอกสารปลอมจากจำเลยทั้งสองเท่านั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะรับเอกสารไว้แทนคณะกรรมการดำเนินการโจทก์ ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายสำหรับความผิดดังกล่าว
เมื่อ ก. ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 แสดงตนเป็นทายาทขอรับเงินตามเอกสารการขอรับเงิน มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นพยาน โดยข้อความรายการต่าง ๆ ในเอกสารขอรับเงินกล่าวอ้างถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นทายาทของ ก. ผู้ตาย ซึ่งเป็นความเท็จ อันเป็นกล่าวอ้างถึงการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ก. ตามคำร้องขอเป็นสมาชิกของ ก. ว่าเป็นความจริงอีกครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้โจทก์ตรวจสอบกับเอกสารดังกล่าวว่าถูกต้องแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมโจทก์ลงลายมือชื่อรับรองเอกสารการขอรับเงิน แม้จะระบุว่าเป็นพยานก็ถือได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารคำร้องขอเป็นสมาชิกปลอม เพื่อยืนยันความเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ถือว่าเป็นการร่วมกันใช้เอกสารคำร้องขอเป็นสมาชิกอันเป็นเอกสารปลอม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341 นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7545/2549 และโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1327/2550 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา กับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2428/2550 และ 2513/2550 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 จำเลยทั้งสองเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7545/2549 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา โทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1327/2550 ของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา และโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่2428/2550 และ 2513/2550 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 83 ตามมาตรา 268 วรรคสอง ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 6,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน และปรับ 3,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน โทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2546 จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมคำร้องขอเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ชุมชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ มีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการโจทก์ลงลายมือชื่อรับรองแล้วนำไปยื่นต่อโจทก์ขอสมัครเป็นสมาชิกรายนายเกษม โจทก์รับสมัครนายเกษมเป็นสมาชิกของโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนและได้รับการจดทะเบียนเป็นสมาคมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ตามสำเนาใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 นายเกษมถึงแก่ความตาย ตามสำเนามรณะบัตร วันที่ 5 มกราคม 2547 จำเลยที่ 1 ยื่นเอกสารขอรับเงินโดยจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นทายาทผู้รับประโยชน์ของนายเกษม มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นพยานตามเอกสารการขอรับเงิน โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องและจำเลยที่ 1 เป็นทายาทจริงจึงจ่ายเงิน 100,800 บาท ให้จำเลยที่ 1 รับไป สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดเกี่ยวกับเอกสาร สำหรับจำเลยที่ 1 คู่ความต่างไม่ฎีกา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า ขณะที่จำเลยทั้งสองปลอมเอกสาร และนำไปยื่นแสดงต่อโจทก์โดยมีนายชาติชาย ลูกจ้างของโจทก์รับไปดำเนินการ อันเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอมนั้น โจทก์ยังมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คงมีเพียงคณะกรรมการดำเนินการขอจัดตั้งสมาคม โจทก์เพิ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลภายหลังเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ฉะนั้น ผู้เสียหายที่แท้จริงก็คือบุคคลที่รับเอกสารปลอมจากจำเลยทั้งสองเท่านั้น แม้นายชาติชายจะรับเอกสารดังกล่าวไว้แทนคณะกรรมการดำเนินการโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายสำหรับความผิดดังกล่าวแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ แต่ครั้นเมื่อนายเกษมถึงแก่ความตายแล้วจำเลยที่ 1 แสดงตนเป็นทายาทขอรับเงินผลประโยชน์ โดยระบุชัดแจ้งว่าตนเองเป็นทายาทของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายชื่อนายเกษม มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นพยาน โดยจำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2547 ข้อความรายการต่าง ๆ ในเอกสารการขอรับเงิน กล่าวอ้างถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นทายาทของนายเกษมผู้ตาย ซึ่งเป็นความเท็จ อันเป็นการกล่าวอ้างถึงการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของนายเกษม ว่าเป็นความจริงอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้โจทก์ตรวจสอบกับเอกสารดังกล่าวว่าถูกต้องแล้ว ทั้งที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมโจทก์ย่อมทราบระเบียบข้อบังคับของโจทก์เป็นอย่างดี การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเอกสาร แม้จะระบุว่าเป็นพยานก็ถือได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอม เพื่อยืนยันความเป็นทายาทของจำเลยที่ 1 จนเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อและจ่ายเงินสวัสดิการสงเคราะห์แก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ถือว่าเป็นการร่วมกันใช้เอกสาร อันเป็นเอกสารปลอมซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 83 แล้ว สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นสาระที่ต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาก็ตามแต่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาชอบที่จะวินิจฉัยแก้ไขโทษให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 83 ส่วนโทษของจำเลยทั้งสองให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องโจทก์ฐานร่วมกันปลอมเอกสาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1