แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ เป็นการกระทำในฐานะผู้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทด้วย โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันหรือข้อความอื่นใดในทำนองเดียวกัน เช่นนี้ ต้องรับฟังว่า จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทด้วยความสมัครใจที่จะผูกพันตนในอันที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 หาใช่เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทที่โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 990 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 55,918,638.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 54,528,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 55,918,638.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 54,528,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 9,000 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ 10,000 บาท
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาท เป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะเป็นผู้รับเงิน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทได้ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและสลักหลังเช็คพิพาทนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 คงให้การต่อสู้คดีแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอม นั้น เท่ากับจำเลยที่ 3 ยอมรับว่าร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทด้วย เพียงแต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะกระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งคำให้การของจำเลยที่ 3 เท่ากับยอมรับว่าร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทด้วยดังวินิจฉัยมาแล้ว จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จริง ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างต่อไปว่า ลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทเป็นลายมือชื่อปลอมนั้น นอกจากโจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยินยอมเข้าผูกพันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาททั้งเก้าฉบับแล้ว จำเลยที่ 3 เองก็ไม่ได้มาเบิกความว่าลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 3 แต่เป็นลายมือชื่อปลอม คงมีแต่ทนายจำเลยที่ 3 มาเบิกความว่า ลายมือชื่อที่ปรากฏในเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 3 โดยไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยที่ 3 รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งเมื่อพิจารณาลายมือชื่อและตราประทับที่ลงในเช็คพิพาทเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ใช้ในการขอเปิดบัญชี เห็นได้ว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน จำเลยที่ 3 เองก็เพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าเป็นลายมือชื่อปลอม แต่ก็หาได้ขอให้ส่งลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์แต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อไว้ด้านหลังเช็คพิพาทจริง หาใช่ลายมือชื่อปลอมดังที่จำเลยที่ 3 อ้างไม่ แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ เป็นการกระทำในฐานะผู้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คพิพาทด้วย โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการค้ำประกันหรือข้อความอื่นใดในทำนองเดียวกัน เช่นนี้ ต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทด้วยความสมัครใจที่จะผูกพันตนในอันที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 หาใช่เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทที่โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 990 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ