แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท ศาลพิพากษาในคดีนั้นว่าจำเลยฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่โจทก์ได้เข้าครอบครอบที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนจึงขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท หลังจากคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่ออกจากที่พิพาท ดังนี้ ผลของคำพิพากษาในคดีเดิมซึ่งถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก จำเลยจะอ้างว่า ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมาหาได้ไม่ เพราะขัดกับบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงหนึ่ง ทิศใต้ของที่ดินนี้จดที่ดินนางรัก เมื่อประมาณ ๗-๘ ปีมานี้ นางรักขายให้จำเลย ในการซื้อขายกันนี้ นางรักและจำเลยได้นำรังวัดเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓) รุกล้ำที่ดินโจทก์ส่วนหนึ่ง อันเป็นที่พิพาทคดีนี้ โจทก์ได้โต้แย้งแล้ว แต่จำเลยนางรักและเจ้าพนักงานที่ดินไม่เชื่อฟัง คงดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโอนขายกันจนเสร็จการ แม้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จำเลยและนางรักก็ไม่เคยครอบครองที่พิพาทเลย โจทก์เป็นผู้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปอและข้าวฟ่างไว้ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๑๕ จำเลยกับพวก ได้ใช้รถไถที่พิพาทเป็นเนื้อที่ประมาณ ๙ ไร่ ราคาประมาณ ๙,๐๐๐ บาท แล้วร่วมกันบุกรุกเข้าไปยกร่องและปลูกข้าวโพด เมื่อเมล็ดปอและข้าวฟ่างที่โจทก์หว่านไว้งอกงามโตขึ้น จำเลยกับพวกก็ถากถางทำลายจนหมดสิ้น เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขาดประโยชน์ในการทำไร่ปีละ ๔,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.๓) ของจำเลยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอน ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนต้นข้าวโพดออกไป และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ ๔,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยสำหรับค่าเสียหายปี ๒๕๑๕ เป็นต้นไป จนกว่าจะออกจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยสำหรับค่าเสียหายปี ๒๕๑๕ นับแต่วันฟ้องและดอกเบี้ยสำหรับปีต่อไปทุกปี ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ได้มาโดยซื้อจากนางรักโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน ครอบครองทำกินและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐาน โจทก์ไม่ได้ปลูกปอและข้าวฟ่าง จึงไม่เสียหายดังฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะแม้โจทก์จะเข้าครอบครองที่พิพาท ก็เป็นการครอบครองแทนนายเรือน ขอให้ยกฟ้อง
ในชั้นพิจารณา โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล โดยโจทก์อ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๗๔๔/๒๕๑๓ และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑๗/๒๕๑๕ จำเลยอ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๒๘๐/๒๕๑๔ และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๗๘๔/๒๕๑๓ ขอให้ศาลวินิจฉัยตามฟ้อง คำให้การ คำแถลงรับของคู่ความในคดีนี้และตามพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่อ้าง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นข้าวโพดออกจากที่พิพาท และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาท ห้ามเกี่ยวข้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปี ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้ใช้ค่าเสียหายต่อ ๆ ไป ปีละ ๒,๕๐๐ บาทจนกว่าจำเลยจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่พิพาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑๗/๒๕๑๕ นั้น ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๕ ว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ในคดีนี้ ฟ้องเกินกว่า ๑ ปี นับแต่โจทก์ได้เข้าครอบครอบที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนจึงขาดอายุความ โจทก์ในคดีนี้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ผลของคำพิพากษาคดีแพ่งเรื่องนั้นซึ่งถึงที่สุดแล้ว จึงผูกพันจำเลยในคดีที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก ที่จำเลยจะอ้างว่า ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๓ ตลอดมานั้น ย่อมขัดกับบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ประการหนึ่งและอีกประการหนึ่ง ยังแย้งกับคำแถลงของจำเลยเองที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑๗/๒๕๑๕ ฉบับลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๕ ว่าโจทก์ในคดีนี้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๓ เป็นต้นมา จนถึงวันแถลงโดยไม่ยินยอมออกจากที่พิพาทด้วย ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน