คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(2) แล้ว จำเลยจะให้การเท็จจริงอย่างไรหรือไม่ให้การอะไรก็ได้ ไม่มีกฎหมายใดบังคับดังนั้น โจทก์จะอ้างคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งในชั้นพิจารณาจำเลยได้ปฏิเสธ ให้เห็นว่าคำเบิกความชั้นศาลของจำเลยเป็นความจริงมาใช้ประกอบเพื่อให้ฟังว่าข้อความที่จำเลยให้ไว้แก่พนักงานสอบสวนนั้นเป็นความเท็จหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่ร้อยตำรวจเอกวันชาติ เผ่าพงษ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายและเป็นพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันฟังได้เบื้องต้นว่า จำเลยได้ให้การเป็นพยานชั้นสอบสวนแก่ร้อยตำรวจเอกวันชาติ เผ่าพงษ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม ในคดีอาญาที่นายแหล่หรือคำเพียร กับพวกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรกระบือของนายเสริญ วิชะระโภชน์ ว่าเมื่อวันที่ 15กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยเห็นนายแหล่หรือคำเพียรกำลังหาแย้และกิ้งก่าอยู่ที่บริเวณทุ่งนาข้างทางเก่าระหว่างบ้านโคกลิ่นโนนภิบาล และห่างจากนายแหล่หรือคำเพียรไปทางตะวันตกประมาณ1 เส้น เห็นกระบือสีดำ 1 ตัวจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียไม่ทราบผูกอยู่ใต้ต้นไม้ วันรุ่งขึ้นได้พบนายมณีจึงได้บอกให้นายมณีทราบรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ครั้นนายแหล่หรือคำเพียรถูกพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคาม เป็นโจทก์ฟ้อง จำเลยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ต่อศาลชั้นต้นว่าไม่เคยรู้ข้อเท็จจริงในคดีแต่อย่างใดและไม่เคยให้การแก่พนักงานสอบสวน ข้อความที่พนักงานสอบสวนพิมพ์นั้นไม่ตรงต่อความจริงดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ โจทก์มีแต่ร้อยตำรวจเอกวันชาติ เผ่าพงษ์ เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนจับกุมและสอบสวนจำเลย จำเลยให้การว่า ที่จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นความจริง พยานจึงแจ้งแก่จำเลยว่า ถ้าเรื่องที่จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นความจริงแล้วเรื่องที่จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนจะเป็นความเท็จ จำเลยจึงให้การใหม่ว่า ที่จำเลยให้การแก่พนักงานสอบสวนไว้นั้นเป็นความจริง เท่านั้น เห็นว่าเมื่อพนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนจับกุมและดำเนินคดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 แล้วร้อยตำรวจเอกวันชาติได้ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยตามเอกสารหมาย จ.9 เช่นนี้ จำเลยย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(2) แล้ว ฉะนั้นจำเลยจะให้การเท็จจริงอย่างไรหรือไม่ให้การอะไรก็ได้ไม่มีกฎหมายใดบังคับ ดังนั้น โจทก์จะอ้างคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งในชั้นพิจารณาจำเลยได้ปฏิเสธให้เห็นว่าคำเบิกความชั้นศาลของจำเลยเป็นความจริงมาใช้ประกอบเพื่อให้ฟังว่า ข้อความที่จำเลยให้ไว้แก่พนักงานสอบสวนนั้นเป็นความเท็จหาได้ไม่ รูปคดีคงได้ความแต่เพียงว่าในชั้นสอบสวนจำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่งแล้วมาเบิกความในชั้นพิจารณาต่อศาลเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการแตกต่างและขัดกันเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
พิพากษายืน

Share