คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ขัดคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงสองประการ กล่าวคือ เข้าอยู่อาศัยในสำนักงานของจำเลยที่ 1 กับผู้หญิงอื่นซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดย มิชอบ และเมื่อจำเลยที่ 1 สั่งให้ย้ายออกก็มิได้ย้ายออกไปในทันที กับไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้ลงชื่อในเช็คสองคน ถือว่าเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบในฐานะพนักงานอาวุโสและ หัวหน้าสำนักงาน ดังนี้ จำเลยที่ 1 ชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยมิต้อง บอกกล่าวก่อนหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตามป.พ.พ. มาตรา 583 กรณี เช่นนี้ไม่อาจนำ มาตรา 387 ซึ่งอยู่ในบรรพ 2 ลักษณะ 2 หมวดที่ 4 เรื่องการเลิกสัญญามาใช้บังคับเพราะการจ้างแรงงานเป็นเอกเทศสัญญา ในบรรพ 3 ที่มีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษในมาตรา 583 อยู่แล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 12ร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารของจำเลยที่ 1 ในประเทศไทยและในต่างประเทศจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างดจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดสัญญาจ้างโดยไม่มีเหตุสมควร และไม่ปรากฏความผิดใด ๆ เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าจ้างที่เหลือ 2,688,290 บาท และค่าบำเหน็จ 224,003 บาทค่าวันหยุดพักผ่อนและวันหยุดกลับภูมิลำเนา 209,479 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 3,142,162 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 66,263,934 บาท นับแต่วันที่23 มิถุนายน 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 4ดำรงตำแหน่งกรรมการของจำเลยที่ 1 โดยกระทำการภายใต้อำนาจหน้าที่ที่กำหดนไว้ในกฎข้อบังคับของจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 4 จึงมิต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวจำเลยที่ 1 เป็นองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือและเร่งรัดให้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิตอาหารในประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยมิได้มีวัตถุประสงค์ในการแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ได้รับบริจาคเงินช่วยเหลือจากองค์การระหว่างประเทศหลายองค์การ เช่น องค์การอาหารและการเกษตร ธนาคารโลกธนาคารพัฒนาเอเซียกลุ่มประชาคมยุโรป และประเทศพัฒนาต่าง ๆ ทั่วโลกจำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานโจทก์มิได้เป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยและไม่มีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยตามกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง สัญญาก็ได้กระทำกันขึ้นในแอฟริกา ทั้งนี้โดยมีสถานที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา ณเมืองอาบิดจัน ประเทศไอวอรี่ โคสต์ โดยที่โจทก์มิได้รับเงินค่าจ้างจากประเทศไทยอีกทั้งการเลิกจ้างโจทก์ก็ได้กระทำภายนอกราชอาณาจักรโดยอาศัยเหตุผลดังกล่าวคดีนี้มิได้ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายไทยจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวต่อไปนี้ กล่าวคือโจทก์จงใจขัดคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 โดยเมื่อประมารต้นเดือนเมษายน 2533 โจทก์และบุคคลภายนอก ซึ่งโจทก์ชักนำมาได้เข้าไปพำนักอาศัยอยู่ในบริเวณสำนัหงานของจำเลยที่ 1 ณ เมืองอาบิดจัน ประเทศไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งมิได้เป็นที่พำนักอาศัยโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ก่อน ซึ่งบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เช่นโจทก์มิสมควรกระทำ เพราะอาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อพนักงานอื่นอีกทั้งพนักงานอื่นของจำเลยที่ 1 ก็ไม่สามารถใช้สถานที่ขององค์การในส่วนที่โจทก์ได้นำบุคคลภายนอกไปพำนักอาศัยอยู่ได้ ต่อมาพนักงานคนอื่นก็ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับความประพฤติของโจทก์ ซึ่งเห็นหัวหน้าสำนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงได้มีคำสั่งให้โจทก์และบุคคลภายนอกดังกล่าวย้ายออกไปจากสำหนักงานของจำเลยที่ 1 ทันทีซึ่งปรากฏว่าโจทก์ได้ย้ายตนเองและบุคคลภายนอกดังกล่าวออกไปพักอาศัยที่อื่นได้เพียง 1 คืน ก็ย้ายกลับมาพำนักอาศัยอยู่ในสำนักงานของจำเลยที่ 1 อีกโดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิที่จะตัดสินใจที่จะพำนักอาศัยอยู่ในสำนักงานได้โดยมินำพาต่อคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ซึ่งจำเลยที่ 1 ถือว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบซึ่งไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และจัดมุ่งหมายของจำเลยที่ 1ในการที่จะพัฒนาสำนักงานของจำเลยที่ 1 ให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อไปในระหว่างโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ณ เมืองอาบิดจัน โจทก์ได้กระทำผิดอาญาต่อจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้ทำบัญชีขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายอันเป็นความเท็จต่อจำเลยที่ 1 การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่ซื้อสัตย์สุจริตของโจทก์และทำให้เกิดความเสียหายต่อจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1เกี่ยวกับข้อกำหนดในการสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 สำหรับสำนักงานเมืองอาบิดจัน ประเทศไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งกำหนดว่าจะต้องมีการลงลายมือชื่อในเช็คโดยพนักงานของจำเลยที่ 1 อย่างน้อย 2 คน เพื่อที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคนจะได้ช่วยกันตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆก่อนที่จะมีการสั่งจ่ายเช็คแต่ปรากฏว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว โดยโจทก์ยังคงลงนามในการสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งมีการสั่งจ่ายเงินอย่างมากมายเกินความจำเป็นหลายครั้งด้วยกัน โดยมิได้มีเหตุผลหรือรายละเอียดในการจ่ายเงินแต่อย่างใด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อจำเลยที่ 1 โจทก์ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับอันถือได้ว่าเป็นที่เคร่งครัดมากของจำเลยที่ 1 ในเรื่องเกี่ยวกับการห้ามประกอบกิจการอย่างอื่นในขณะที่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ โจทก์ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายวัตถุโบราณ ซึ่งนอกจากจะเป็นการละเมิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 แล้ว ยังเป็นความผิดกฎหมายอาญาอีกด้วย การกระทำดังกล่าวของโจทก์ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของจำเลยที่ 1 อีกส่วนหนึ่ง อันอาจเป็นสาเหตุให้จำเลยที่ 1 ขาดรายได้ เนื่องจากการรับบริจาคขององค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ด้วยและโจทก์ในฐานะเจ้าหน้าที่กำหนดแผนงานสำหรับแอฟริกา ณเมืองอาบิดจัน ประเทศไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการบริหารการเงิน และประสานงานกับจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ก้ได้รับรองต่อจำเลยที่ 1 ว่า โจตทก์เป็นผู้มีฝีมือ หรือความชำนาญพิเศษเกี่ยวกับเรื่องดินและการกสิกรรมในประเทศแอฟริกา รวมทั้งด้านการบริหารงานองค์การทั่ว ๆ ไปด้วย จำเลยที่ 1 จึงได้รับโจทก์เข้าทำงานกับองค์การแต่ต่อมาปรากฏต่อจำเลยที่ 1 ในภายหลังว่าโจทก์มิได้ใช้ความสามารถพิเศษดังกล่าวที่กล่าวอ้างไว้ในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้แก่จำเลยที่ 1นอกจากนี้โจทก์ยังทำงานโดยไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบจำเลยที่ 1 โดยมติอันเป็นเอกฉันท์ของที่ประชุมคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ได้ตัดสินใจเลิกจ้างโจทก์ การเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุอันสมควรและไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11ที่ 12 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 509,479.20บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่26 ธันวาคม 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ถึงที่ 12
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนและโดยไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ขัดคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงสองประการ กล่าวคือ เข้าอยู่อาศัยในสำนักงานของจำเลยที่ 1 กับผู้หญิงอื่นซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยมิชอบ และเมื่อจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งให้ย้ายออกก็มิได้ย้ายออกไปในทันทีกัไม่ปฏิบัติตามจข้อกำหนดของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้ลงชื่อในเช็คสองคน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบในฐานะพนักงานอาวุโส และหัวหน้าสำนักงาน ดังนี้ จำเลยที่ 1 ชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อนหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 กรณีเช่นนี้ไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ซึ่งอยู่ในบรรพ 2 ลักษณะ2 หมวดที่ 4 เรื่องการเลิกสัญญามาใช้บังคับเพราะการจ้างแรงงานเป็นเอกเทศสัญญาในบรรพ 3 ที่มีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษในมาตรา 583อยู่แล้ว ที่ศาลแรงงานกลางนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 มาใช้บังคับและกำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ 209,479.20บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share