คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของ ม. ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ม. ต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้ จึงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงิน โดย ม. กับจำเลยตกลงกันไว้ว่า จำเลยกระทำแทน ม. เท่านั้น เงินที่ได้รับมาจากโจทก์ ม. จะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวทั้งหมด โดยในใจจริงของจำเลยถือว่า ทำนิติกรรมพิพาทแทน ม. โดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่ ม.ในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 แม้ ม. จะรู้เห็นด้วยแต่จะถือว่าโจทก์รู้เห็นในเจตนาดังกล่าวด้วยไม่ได้ จำเลยทั้งสองต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 117 และต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในฐานะตัวแทนของนายมานพ กิติวงศ์ ผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางแคจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๒ รับรองในตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ ๑ ออกให้นั้นก็ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาที่ทำไว้ผูกพันจำเลยทั้งสองและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของนายมานพ ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางแค นายมานพต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้ นายมานพจึงให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ให้จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อรับรองเป็นอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงิน ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ อ้างว่าทำนิติกรรมพิพาทในฐานะจำเลยที่ ๑เป็นตัวแทนของนายมานพซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของโจทก์ นายมานพได้รับเงินตามสัญญานั้นแต่เพียงผู้เดียว จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับเงินตามสัญญานั้น นอกจากข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวคงได้จากลำพังคำเบิกความของจำเลยโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนแล้ว ไม่ปรากฏมีข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ ของจำเลย จากพยานเอกสารทั้งหมดที่โจทก์เป็นผู้ส่งเป็นพยานโจทก์ต่อศาลและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้เรื่องราวตามข้อต่อสู้ของจำเลยแต่อย่างใด ฉะนั้นแม้ความจริงนิติกรรมพิพาทเกิดขึ้นโดยนายมานพกับจำเลยตกลงกันไว้ว่า จำเลยกระทำแทนนายมานพเท่านั้น เงินที่ได้รับมาจากโจทก์ นายมานพจะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวทั้งหมด โดยในใจจริงของจำเลยถือว่า ทำนิติกรรมพิพาทแทนนายมานพโดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่นายมานพ ในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๐ ความรู้ของนายมานพตามข้อต่อสู้ของจำเลยจะถือเป็นความรู้ของโจทก์ด้วยไม่ได้ จำเลยต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๗ ด้วยเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัยมา เห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share