แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องแย้งในฐานะนายอำเภอและประธานสุขาธิบาล ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทีพิพาท ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลย มิใช่เป็นคดีที่พิพาทโต้แย้งด้วยกรรมสิทธิ์ที่พิพาท จึงเสียค่าขึ้นศาลอย่างมีคดีที่มีคำให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่ดินพิพาทด้านที่ติดต่อกับสระโชติเป็นทีดินของโจทก์ห้ามจำเลยขัดขวางคัดค้านการขอสำรวจรังวัดเพื่อออกโฉนด
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทับที่ดินสระโชติซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์อยู่ ๙๒ ตารางวา จึงฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยเป็นส่วนหนึ่งของสระโชติ และที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๑ ยังชำระค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมไม่ครบถ้วน เพราะในฟ้องแย้งจำเลยมิได้ตีราคาและเสียค่าขึ้นศาลมาในส่วนที่ดินพิพาท กล่าวคือ จำเลยที่ ๑ เสียค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งมาเพียง ๕๐ บาทเท่านั้น ข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งมาในฐานะนายอำเภอและประธานสุขาภิบาล ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทซึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลย หาใช่เป็นคดีที่พิพาทโต้แย้งด้วยกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกันแต่ประการใดไม่
พิพากษายืน.