แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองว่าจ้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ก่อสร้างถนน และระบบระบายน้ำ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้ซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้าง และรับเงินยืมทดรองจ่ายไปจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการสร้างรวมเป็นเงิน 778,240 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 1 มูลค่า 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินตามสัญญาจ้างทันที จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ไม่มีสิทธิระงับไม่ให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินให้โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่อาจบอกปัดความรับผิดโดยอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. มีหนังสือไปถึงจำเลยทั้งสองให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อนอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจรับเงินตามที่โจทก์มีสิทธิที่จะรับได้ ถือว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดประกอบกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2548 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะนายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาก่อสร้างถนนระยะทาง 2.5 กิโลเมตร พร้อมระบบระบายน้ำในโครงการหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวโอทอป วิลเลจโดยตกลงค่าจ้างรวมเป็นเงิน 2,418,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาได้ซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างและรับเงินยืมทดรองจ่ายไปจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างถนน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 778,240 บาท หากผิดนัดยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 1 มูลค่า 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ทราบเป็นหนังสือแล้วโดยจำเลยที่ 2 ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือตอบกลับมายังโจทก์ ต่อมาเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาก่อสร้างถนนเสร็จและส่งมอบงานให้จำเลยทั้งสองครบถ้วน โจทก์จึงได้ติดตามทวงถามขอรับเงินค่าก่อสร้างตามสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยที่ 2 ปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 813,315.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและเอกสารแนบท้ายฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายและเป็นกรณีโจทก์ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษาให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาก่อสร้างถนนและระบบระบายน้ำในโครงการหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยว ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาได้ซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างและรับเงินยืมทดรองจ่ายไปจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้าง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 778,240 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาจึงได้โอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 1 มูลค่า 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์ได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ทราบเป็นหนังสือจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือตอบรับการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว เห็นว่า การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์รับเงินงวดค่าก่อสร้างเพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างและเงินยืมทดรองจ่ายที่ห้างฯ ดังกล่าวค้างชำระแก่โจทก์ โจทก์ได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือตอบรับการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นแล้วตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 7 เช่นนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาผู้โอนย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินตามสัญญาจ้างทันที จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้โดยตรง ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธาไม่มีสิทธิจะมาระงับไม่ให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินให้โจทก์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองโดยตรง จำเลยทั้งสองไม่อาจบอกปัดความรับผิดโดยอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่แควการโยธามีหนังสือไปถึงจำเลยทั้งสองให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อนอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจรับเงินตามที่โจทก์มีสิทธิที่จะรับได้ ถือว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในชั้นตรวจคำฟ้องโดยให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดจำนวน 813,315.07 บาท คดีนี้มีทุนทรัพย์จำนวนดังกล่าวซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล (ในศาลชั้นต้น) จำนวน 20,332.50 บาท แต่โจทก์เสียมาเพียง 20,332 บาท จึงขาดไป 50 สตางค์ จึงเห็นควรให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากโจทก์ชำระแล้วให้รับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.