คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14324/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับโจทก์เพื่อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการติดต่อก็ตกลงและนัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโดยมอบหมายให้ ส. ตัวแทนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่ ส. จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์คืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะตกลงขายสิทธิการเช่าซื้อให้ ส. ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 265,410 บาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 47,190 บาท และชำระค่าเสียหายวันละ 121 บาท หรือเดือนละ 3,630 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 312,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 200,000 บาท ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 39,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 39,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 ธันวาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน แต่ไม่เกิน 1 ปี กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
จำเลยฎีกาโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับโจทก์เพื่อจะคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อเพราะไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อได้ แสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น โจทก์เมื่อได้รับการติดต่อก็ตกลงและนัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2549 โดยมอบหมายให้นายสมชาติ พนักงานของโจทก์ในขณะนั้น เป็นผู้ดำเนินการ ย่อมถือได้ว่านายสมชาติเป็นตัวแทนของโจทก์ในการมารับรถยนต์คืน เมื่อนายสมชาติทำบันทึกการส่งมอบรถยนต์ ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งมีข้อความแสดงว่าได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ตรงกับจุดประสงค์ที่จำเลยกับโจทก์ตกลงกันข้างต้นแล้ว ถือว่าโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยแล้ว แม้จะได้ความต่อมาว่าในวันดังกล่าวนายสมชาติกับจำเลยมีการเจรจาตกลงกันว่า จำเลยตกลงจะขายสิทธิการเช่าซื้อให้นายสมชาติโดยนายสมชาติจะหาบุคคลอื่นมาเป็นผู้เช่าซื้อแทนตนเองโดยมีค่าตอบแทน ก็เป็นเรื่องที่นายสมชาติเป็นผู้ริเริ่มข้อเสนอดังกล่าวมายังจำเลยเพราะอยากได้รถยนต์ที่จำเลยคืนให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากมีการคืนรถยนต์กันแล้ว แม้การกระทำของนายสมชาติจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบของโจทก์ ซึ่งต่อมาโจทก์ลงโทษเลิกจ้างนายสมชาติเพราะเหตุนี้ไปแล้วก็ตาม แต่จำเลยเป็นบุคคลภายนอก เมื่อนายสมชาติเป็นทั้งพนักงานของโจทก์และเป็นตัวแทนโจทก์มาทำการรับรถยนต์คืน จึงมีมูลอันสมควรที่จะทำให้จำเลยเชื่อว่าข้อเสนอของนายสมชาติสามารถกระทำได้โดยชอบ เพราะในทางปฏิบัติในธุรกิจการเช่าซื้อก็มีการขายสิทธิการเช่าซื้อ และโอนเปลี่ยนผู้เช่าซื้อกันใหม่ได้ ซึ่งผู้ขายสิทธิย่อมได้ค่าตอบแทนซึ่งเป็นค่าเช่าซื้อที่ผ่อนชำระไปก่อนบางส่วน การที่จำเลยได้รับค่าตอบแทนจึงมิใช่เรื่องที่ผิดปกติ ทั้งต่อมาก็ได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอของนายสมชาติ โดยวันที่ 12 ธันวาคม 2549 จำเลย นายสมชาติ และนายพรชัย ไปที่บริษัทโจทก์เพื่อขอโอนสิทธิสัญญาเช่าซื้อ ในวันดังกล่าวมีการชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 13 และงวดที่ 14 บางส่วนให้โจทก์ ตามใบยื่นคำขอโอนสิทธิสัญญาเช่าซื้อและรายการชำระค่าเช่าซื้อ ต่อมาโจทก์อนุมัติให้เปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อจากจำเลยเป็นนายพรชัยเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 แสดงว่าโจทก์ก็รับรู้ข้อเท็จจริงนี้ แต่เหตุที่ไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อเพราะนายพรชัยไม่ไปทำสัญญา มิใช่เป็นเพราะจำเลยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ ส่วนเอกสารหมาย ล.2 และ ล.4 ที่จำเลยจัดทำขึ้นและส่งไปให้โจทก์นั้น ข้อความในเอกสารเป็นการบอกเล่าเรื่องราวตามความเป็นจริงนับแต่วันที่โจทก์ส่งนายสมชาติมารับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน ซึ่งจำเลยก็ยังยืนยันว่าได้ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์แล้ว และรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องขายสิทธิการเช่าและขอเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อระหว่างจำเลยกับนายสมชาติ จนกระทั่งจำเลยได้รับแจ้งจากโจทก์ว่านายพรชัยไม่ไปทำสัญญาเพื่อเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อและนายสมชาติถูกไล่ออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์แล้ว โดยมิได้ปิดบังข้อเท็จจริงใดเพื่อประโยชน์ของตนเอง อันแสดงให้เห็นถึงความสุจริตของจำเลยที่ตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อกับนายสมชาติ อีกทั้งไม่ปรากฏว่านายสมชาติทำข้อตกลงดังกล่าวในฐานะตัวแทนของโจทก์แต่อย่างใด จึงมิใช่เรื่องที่ตัวแทนทำสัญญากับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จำเลยได้ให้เป็นลาภส่วนตัวแก่นายสมชาติดั่งที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่นายสมชาติตัวแทนของโจทก์เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2549 จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share